2019-10-15

3 สิ่งที่ไม่ควรโต้เถียง

การพูดคุยอย่างเปิดอกเป็นเรื่องที่ดี แต่กระนั้นก็มีบางเรื่องที่ต้องงดเว้น ไม่ควรโต้เถียง เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีไว้


หากคุณต้องการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน พี่น้อง ควรรู้กฎเหล็กในการสนทนาหรือการแสดงความคิดเห็นต่อกันดังต่อไปนี้
1.อย่าโต้เถียงเรื่องความเชื่อ
เรื่องความเชื่อนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องศาสนา แต่เป็นความเชื่อส่วนบุคคลเช่น ความเชื่อเรื่องดวงชะตา ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อเรื่องเลขหวยทำนายฝัน ความเชื่อเหล่านี้เป็นความเชื่อที่ยากจะพิสูจน์ด้วยหลักการวิทยาศาสตร์ แต่คนเรามักจะเชื่อจากประสบการณ์ของตัวเองเช่น บูชาแล้วสมหวัง หรือลองขูดต้นไม้แล้วเห็นเลขที่หวยออกในงวดนั้นหลายครั้ง ทำให้เกิดความเชื่ออย่างจริงจัง หรือบางคนเชื่อว่าถ้าปักตะไคร้กลับหัวฝนจะไม่ตก เป็นต้น
เมื่อเราได้ยินได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้หากไม่เชื่อเราก็ไม่ควรหัวเราะเยาะ หรือแสดงอาการดูถูกดูหมิ่นเราควรแค่รับฟังโดยไม่ต้องใส่ใจในเนื้อหามากมาย เมื่อเขาพูดคุยในประเด็นนั้นจบแล้วก็ชวนคุยเรื่องอื่นๆ ต่อเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดี และเชื่อเถอะว่าตัวคุณเองก็อาจจะมีความเชื่อแปลกๆกับเขาเหมือนกัน
2.อย่าโต้เถียงเรื่องศาสนา
ศาสนาเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจและผู้คนให้ดำเนินวิถีชีวิตในรูปแบบเดียวกัน ต่างคนต่างเชื่อว่าศาสนาตัวเองนั้นคือสิ่งสวยงามเป็นศูนย์รวมศรัทธาของชีวิต การโต้เถียงดูถูก ล้อเลียน พฤติกรรมทางศาสนา ไม่เพียงแต่คุณจะสร้างความบาดหมางใจกับเพื่อนร่วมการสนทนาแต่ยังอาจกลายเป็นปัญหาลุกลามกับบุคคลอื่นที่เชื่อในศาสนาเดียวกันเช่น คุณล้อเลียนศาสนพิธีของอีกศาสนาหนึ่งด้วยความสนุกปาก
แต่เพื่อนของคุณที่ถูกล้อไปบอกต่อกับคนอื่นๆที่ันับถือศาสนาเดียวกันว่าคุณดูถูกดูแคลนศาสนาของเขา ไม่เพียงแต่คุณจะเสียเพื่อนไป 1 คนแต่อาจเสียเพื่อนอีกเป็นจำนวนมาก ยิ่งในโลกการทำงานแล้วคุณอาจถูกกลั่นแกล้งกีดกันไม่ให้ทำงานได้สำเร็จตามเป้าหมายก็เป็นได้ ในระดับโลกปัญหาความขัดแย้งทางศาสนาลุกลามกลายเป็นสงครามตั้งแต่ครั้งโบราณจนถึงยุคปัจจุบันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นอย่าเสี่ยงถ้าไม่จำเป็น
3.อย่าโต้เถียงเรื่องการเมือง
ความขัดแย้งความคิดทางการเมืองเป็นเรื่องระดับชาติที่ทำให้สังคมแตกแยกไม่เพียงแต่เพื่อนเท่านั้น แม้แต่พ่อ แม่ พี่น้อง ถึงขึ้นตัดญาติขาดมิตรไม่มองหน้ากันเลยก็มี ดังนั้นควรเลี่ยงหัวข้อสนทนาทางการเมือง ถ้าใครจะแสดงความคิดเห็นก็ปล่อยไป โดยเฉพาะคนในครอบครัว และยิ่งการพูดวิจารณ์เรื่องการเมืองในสถานการณ์ที่ไม่ปรกตินอกบ้านด้วยแล้วยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นไปอีก
การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง สามารถแสดงออกอย่างเหมาะสมที่คูหาเลือกตั้ง และการแสดงความเห็นด้วยการลงชื่อคัดค้าน ถอดถอนในนโยบายหรือประเด็นทางการเมืองต่างๆ เท่านั้น


***********************************************************************
ถ้าเจอ”คนสามฤดู”…

สาเหตุนึง ที่เลิกถกเถียงกับคนในโลกโซเชียลและคนในสังคม เรื่องการเมือง ศาสนาและเรื่องลี้ลับ 5555
“คนสามฤดู”

มีอยู่วันหนึ่ง ลูกศิษย์คนหนึ่งของขงจื้อกำลังกวาดพื้นอยู่หน้าสำนัก มีคนแปลกหน้าผ่านมาแล้วถามเขาว่า

“เจ้าพำนักอยู่สำนักขงจื้อหรือ”

“ใช่ครับ ผมเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ขงจื้อครับ” เขาตอบอย่างภาคภูมิใจ

“ดีมาก ถ้าเช่นนั้นผมขอถามคำถามคุณสักข้อ”

“ได้เลยครับ เรียนเชิญ” ลูกศิษย์ตอบ ในใจเขาคิดว่าคงเป็นพวกปัญหาแปลกประหลาดพิสดารไม่เหมือนใคร

คนแปลกหน้าถามว่า “โลกนี้ปีหนึ่งมีกี่ฤดู”
ลูกศิษย์คิดในใจว่า คำถามง่ายๆแบบนี้ยังเอามาถามได้ จึงตอบไปอย่างมั่นใจว่า “ปีหนึ่งมีสี่ฤดู”

คนแปลกหน้าสั่นหัว “ไม่ถูก ปีหนึ่งมีแค่สามฤดู”

“คุณคงเข้าใจผิด สี่ฤดูแน่นอนอยู่แล้ว”


“สามฤดู” คนแปลกหน้าเถียงอย่างมีน้ำโห

ฝ่ายลูกศิษย์พยายามแจกแจงรายละเอียดของทั้งสี่ฤดูให้ฟังอย่างครบถ้วน แต่คนแปลกหน้าก็ไม่ยอมรับรู้

ทั้งสองโต้เถียงกันไม่ยอมจบ เลยตกลงกันว่าต้องมีเดิมพันกันหน่อย หากเป็นสี่ฤดู คนแปลกหน้าต้องโค้งคำนับฝ่ายลูกศิษย์ไปสามครั้ง แต่หากคำตอบคือสามฤดู ฝ่ายลูกศิษย์ต้องเป็นฝ่ายโค้งคำนับ

ก็พอดีเป็นจังหวะที่ขงจื้อเดินออกมาหน้าสำนักตน ลูกศิษย์จึงถือโอกาสเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อาจารย์ฟัง พร้อมถามคำถามที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ “ตกลงปีหนึ่งมีกี่ฤดูครับ อาจารย์”

ขงจื้อใช้สายตามองคนแปลกหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตอบเขาว่า “ถ้าเจ้าจะเชื่อว่าปีหนึ่งมีสามฤดู มันก็ไม่ผิด”


ลูกศิษย์ทั้งตกใจและแปลกใจในคำตอบ แต่ก็ไม่กล้าโต้แย้งอาจารย์

คนแปลกหน้าดีใจอย่างมาก “มาโค้งคำนับข้าเร็ว”

ลูกศิษย์จำใจต้องทำตามสัญญา ด้วยการโค้งคำนับคนแปลกหน้าไปสามครั้ง

เมื่อคนแปลกหน้าจากไปแล้ว ลูกศิษย์จึงถามขงจื้อด้วยความสงสัยว่า

“อาจารย์ครับ ปีหนึ่งมีสี่ฤดูชัดๆ แต่ทำไมอาจารย์จึงบอกว่ามีแค่สามฤดู”

ขงจื้อมองหน้าลูกศิษย์ ก่อนจะตอบอย่างใจเย็นว่า “เจ้าไม่เห็นหรือว่า คนแปลกหน้าคนนั้นนุ่งเขียวห่มเขียวมาทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ข้าจึงอยากเปรียบเปรยเขาเป็นดั่งพวกตั๊กแตน ตั๊กแตนเกิดในฤดูใบไม้ผลิ และตายในฤดูใบไม้ร่วง พวกมันจึงไม่เคยได้พบเจอฤดูหนาวเลย คนแปลกหน้าคนนั้นอาจมาจากแดนไกลที่แทบจะไม่มีฤดูหนาว ถ้าบอกเขาว่า ปีหนึ่งมีสามฤดู เขาก็จะพอใจ แต่ถ้าบอกเขาว่าโลกนี้มีสี่ฤดู คงต้องทะเลาะโต้เถียงกันไม่จบไม่สิ้น แม้พระอาทิตย์จะตกดินไปแล้วก็ยังจะหาบทสรุปไม่ได้ การที่เจ้ายอมคำนับเขาไปสามครั้ง เสียเปรียบหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับเสียหายมาก เรื่องจะได้จบกันเสียที จงอย่าเสียเวลาไปโต้เถียงกับคนพวกนี้ให้เสียอารมณ์โดยใช่เหตุ”

************

เพื่อนๆหลายคนที่เคยอ่านเรื่องนี้แล้ว ก็มักจะกลับมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนเจอคนที่ไม่ยอมคุยด้วยเหตุผล หรือเอาแต่ความคิดตนเองเป็นใหญ่ ก็จะโกรธ อารมณ์เสีย อยากเถียงให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย แต่เดี๋ยวนี้เลิกอารมณ์ขุ่นมัวกับคนพวกนี้แล้ว เพราะคิดได้ว่าคนพวกนี้เป็นแค่ “คนสามฤดู” จิตใจก็จะสบายขึ้น

“คนสามฤดู” จะยืนกรานว่าตนมีเหตุผล รู้จริงและถูกต้องเสมอ ยากที่จะยอมรับความคิดเห็นคนอื่น นั่นเพราะพวกเขาไม่เคยพบเจอความจริงที่บ่งบอกถึงความเข้าใจผิดของพวกเขา หรืออาจเพราะความดื้อรั้นในตัวเขา เพราะฉะนั้น หากเรามัวแต่เสียอารมณ์ไปโกรธคนพวกนี้ ก็เท่ากับเรากำลังทำร้ายตัวเราเอง


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ถ้าเจอ”คนสามฤดู”
ไม่แย่งชิงคือความสงบ
ไม่โต้เถียงคือความชาญฉลาด
ให้อภัยคือการหลุดพ้น
ยุติให้เป็นคือการปล่อยวาง

โลกเรานั้น
มี “คนสามฤดู” เยอะแยะไปหมด
จงจำนิทานเรื่องนี้ให้ดี
แล้วนำออกมาใช้ในจังหวะที่จำเป็น มีประโยชน์ต่อคุณแน่นอน
#1แชร์=1ธรรมทาน แชร์ไปได้บุญ สร้างกุศลความดี
#ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆคน อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวน๊า!! อย่าลืมส่งให้คนที่คุณรัก ได้อ่านด้วยนะคะ

No comments: