2013-11-18

เกมส์การเมืองปี 2556 และความคิดเห็น


ตรีวิกรมเสน เขียน 

สำหรับเกมส์การเมืองปีหน้า ซึ่งก็คืออีกไม่กี่วันที่จะถึง จุดโฟกัสไม่ได้อยู่ที่ทักษิณอีกต่อไป (ถึงใครจะพยายามเอ่ยถึง ก็เป็นเพียงแค่น้ำจิ้มเพื่อให้ตัวเองดูมีสีสันเท่านั้น) หากแต่จะอยู่ที่ "การเปลี่ยนแปลง" ศูนย์อำนาจการเมือง ระหว่างฝ่ายจารีตนิยมและฝ่ายอำมาตย์นิยม

กล่าวคือ ไม่ว่า "การเปลี่ยนแปลง" ใด ๆ จะเกิดขึ้น ฝ่ายจารีตนิยม ซึ่งมีสถานะที่เหนือกว่าในปัจจุบัน คงจะเดินหน้าตามแบบแผนที่วางไว้ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรเพิ่มเติม

ในขณะที่ ฝ่ายอำมาตย์นิยม ซึ่งพยายามดิ้นรนเพื่อคงสถานะตัวเองไว้ (ความจริงก็แก่หง่อม ลูกเต้าก็ไม่มี ไม่รู้จะเอาอำนาจไปทำไม) คงจะไม่ยอมรับ "แบบแผน" หรือจารีตที่สืบทอดกันมาโดยง่าย และจะดิ้นรนจนสุดขีดเพื่อไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น

จึงเป็นที่น่าจับตาว่า ฝ่ายอำมาตย์นิยมจะมี "ลูกเล่น" อะไรในการเอาชนะคะคานฝ่ายจารีตนิยม เพื่อผลักดันศูนย์อำนาจการเมืองให้หันเหในทิศทางที่น่าจะเป็นผลดีกับตนเองมากที่สุด

เช่น ถ้ามองในแง่ร้าย ฝ่ายอำมาตย์นิยมอาจจะตัดสินใจชิงลงมือก่อน โดยเอายิ่งลักษณ์ลงด้วยข้ออ้างสารพัดอย่าง แล้วอาศัยความชุลมุนของเหตุการณ์ ใช้กลไกทหารชั่วคราวบังคับให้แก้ไขจารีตประเพณีซะ เพื่อให้คนที่ตนเองคิดว่า "เหมาะสม" ให้ขึ้นมาเป็นศูนย์รวมอำนาจใหม่

หรือถ้ามองในแง่ดี ฝ่ายอำมาตย์นิยมอาจจะได้แต่คิด แต่พอเอาเข้าจริง ๆ กลับทำไม่ได้เนื่องจากขาด "มิดฟีลด์" ซึ่งเป็นตัวจ่ายลูก จนเป็นเหตุให้ทีมของตัวเอง ซึ่งตอนนี้ไม่เพียงจะมีแค่สิบคน หากแต่พวกลูกทีมที่เก่ง ๆ หลายคนระดับตอเรสและเบคแฮม คงได้แต่ยืนทำตาปริบ ๆ เพราะไม่มีใครส่งลูกมาถึง เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า เสถียรภาพของการเมืองไทย ประการแรก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัญหาทักษิณหรือการเมืองระดับประชาชนอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน หากแต่ขึ้นอยู่กับการช่วงชิงศูนย์อำนาจระดับสูงกว่าประชาชน ประการที่สอง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกลุ่มคนจำนวนน้อยในวงการอำนาจระดับสูง จึงมีความไม่แน่นอนและมีความล่อแหลมเป็นอย่างมาก

ในทางกลับกัน หากโครงสร้างอำนาจการเมืองของไทย มิได้ "รวมศูนย์" ในมือของคนกลุ่มน้อยแต่มีอำนาจมากอย่าง ที่เป็นอยู่ กล่าวคือ

1) ผู้มีอำนาจที่แท้จริง คือ ประชาชนหรือตัวแทนของประชาชนที่มาจากการเลือกตั้ง แทนที่จะเป็นกลุ่มอำนาจหรือผู้มีบารมีทางการเมือง

2) เวทีต่อสู้ทางการเมือง คือ รัฐสภา แทนที่จะเป็นเวทีนอกรัฐสภา เช่น บนโต๊ะอาหารแถวสุขุมวิท หรือตามข้างถนน

3) คู่ต่อสู้ทางการเมือง คือ พรรคการเมือง ที่ต้องอาศัยการสนับสนุนของประชาชน เพื่อให้มาบริหารกิจการของรัฐ แทนที่จะเป็นพลังที่ถูกไขลานให้ออกมาสร้างสถานการณ์การเมือง ไม่ว่าจะสีไหน

4) เป้าหมายและวิธีการต่อสู้ทางการเมือง คือ การแข่งขันด้านนโยบายและด้านผลงาน โดยวิถีประชาธิปไตยแบบสากล แทนที่จะเป็น การแก่งแย่งคุมเชิงเพื่ออำนาจและอภิสิทธิประโยชน์โดยไม่มีการตรวจสอบและควบคุมโดยรัฐ โดยวิถีทางแห่งประชาธิปไตยแบบไทย ๆ

เสถียรภาพการเมืองไทยคงจะไม่ง่อนแง่นโอนเอน และมีความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรง ความไม่แน่นอน หรือการรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างที่เป็นอยู่

ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าระบอบประชาธิปไตยที่ "รวมศูนย์" จะจุดกำเนิดหรือมีวิวัฒนาการเป็นมาอย่างไร ปัญหาที่เผชิญหน้าสังคมทุกวันนี้ คือ ทำอย่างไรระบอบหรือโครงสร้างอำนาจทางสังคมถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากที่เคย "รวมศูนย์" อยู่กับความคิดเห็นและการตัดสินใจคนในสังคมระดับสูง ไปสู่ทิศทางที่ "เปิดกว้าง" เพิ่มขึ้น เพื่อให้คนชั้นกลางและคนชั้นล่างมีส่วนร่วมในการปกครองมากยิ่งขึ้น

ฟังดูเหมือนเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ เพราะเป็นคำถามแบบกำปั้นทุบดิน แต่ตราบใดที่ไม่มีคำถาม หรือไม่มีใครกล้าที่จะถาม ตราบนั้นก็คงไม่มีคำตอบ เช่นกัน

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ลูกชาวนาไทย
ผมเห็นด้วยนะครับว่า เมื่อแม่มันเดี้ยง ก็ขาดมิดฟิลด์ ไปอย่างที่ว่า ทำให้ไม่มีตัวจ่ายลูก หรือหาตัวใหม่มาจ่ายลูก ก็ไม่มีศักยภาพพอที่จะสามารถจ่ายลูกได้ ส่วนเจ้าของทีม ก็ไม่เคยจ่ายลูกเองอยู่แล้ว ศักยภาพตอนนี้เข้าใจว่าไม่มีสมรรถภาพขนาดจ่ายลูกได้ เป็นเพียงแต่ถูกเชิดเท่านั้น แต่เมื่อขาด "ตัวจ่ายลูก" การเชิด ก็ไม่มีความหมายอะไรมากนัก


เพราะยุคนี้แค่ เขียนเสือมา วัวมันไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่แล้ว เพราะวัวมันก็รู้ว่าไม่ใช่เสือจริงๆ ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่อยู่

ตรงกันข้าม ตัวจ่ายลูกของฝ่ายประชาธิปไตย ในระดับสูงแบบนั้น แต่ก่อนเคยโดน มิดฟีลด์ ตัวจ่ายลูกของฝ่ายตรงข้าม "ขัด" ได้ตลอดเวลา วันนี้กลับไม่มี ทำให้ ศักยภาพในการ "เล่น" ย่อมมีมากกว่าเดิม 

เกมจึงเป็นการพยายามเล่นจ่ายลูก ของฝ่ายอำมาตย์อยู่ แต่ไม่มีพลังอย่างเพียงพอ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คนไทย_ใจพุทธ

ผมเห็นด้วยกับเหตุผลทั้งหมดของคุณตรีวิกรมเสน และคุณลูกชาวนาไทย ที่ว่า การเมืองปีหน้า จุดโฟกัสจะไม่ได้อยู่ที่ทักษิณอีกต่อไป   หากแต่จะอยู่ที่ "การเปลี่ยนแปลง" ศูนย์อำนาจการเมือง  ระหว่างฝ่ายจารีตนิยมและฝ่ายอำมาตย์นิยม และประชาชนทั้งหมด


และผมก็เชื่ออย่างที่คุณตรีวิกรมเสนเขียนทุกอย่าง  เพราะมาสอดคล้องกับสิ่งที่ผมเชื่อและเรียนรู้มา  อาทิ


ตามหลักโหราศาสตร์  ดวงชะตาบ้านเมืองไทย (ผมไม่ได้ใช้ดวงเมือง สมัยรัชกาลที่ 1 ทำนายครับ) มีดวงดาวปัจจุบัน(เสาร์ในราศีตุลย์ พฤหัสในราศีมิถุน ราหูในราศีธนู)ที่บอกเหตุว่า  ประเทศไทยในปี 2556 กำลังผ่านพ้น "วิบากกรรมเก่า" ที่ทั้งคุณทักษิณ และบุคคลที่จองเวร ผูกเวรกันมา ได้ถึงเวลายุติกรรมนั้นแล้ว  เพราะเหตุ"นารีขี่ม้าขาว" (ดาวจันทร์ เรือน 9 ในราศีกุมภ์) ที่ทางฝ่ายอำมาตย์เสกสรรปั้นคำทำนาย  แล้วกลับปรากฏว่าเป็นความจริงเสียนี่ (ฮา) สามารถสลายอิทธิพลจากผู้มีอิทธิพล(ดาวอาทิตย์ เรือน 11 ในราศีพฤษภ) และกรรมเก่า(ดาวเสาร์ เรือน 11 ในราศีพฤษภ)  โดยการสนับสนุนจากนักวิชาการ,พระ (ดาวพหัสบดี เรือน 6 ในราศีธนู)   และนักคิดนักเขียนหัวก้าวหน้าที่ใช้วิทยาการทางเทคโนโลยีอิเลคทรอนิคส์ (ดาวพุธ และดาวยูเรนัส เรือน 10 ในราศีเมษ) [พวกอำมาตย์จึงสกัดถ่วงไม่ให้มี 3 G อย่างเต็มที่]  


พวกอำมาตย์ก็รู้และเชื่อโหราศาสตร์ไสยศาสตร์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะหัวหน้าอำมาตย์และครอบครัว  พวกเขาถึงกับดิ้นรนและแสวงหาทางยับยั้ง  ทั้งแก้ทางยุแหย่สร้างความแตกแยกในหมู่เสื้อแดง  แก้ทางไสยศาสตร์มีการสะเดาะเคราะห์  ต่ออายุ วุ่นวายไปทั่วประเทศ  ที่ไหนมีเกจิดัง หมอผีดังๆ หรือคิดว่าชื่อสถานที่ไหน(ชัยนาท+ชัยภูมิ ฯลฯ)จะช่วยเขาได้ เขาส่งคนไปให้ทำพิธีช่วยเขาหมด  


ส่วนตามหลักพุทธศาสนา  เพราะคุณทักษิณยอมรับชะตากรรมจากวิบากกรรมเก่า  ไม่คิดต่อสู้กับหัวหน้าอำมาตย์และครอบครัวหัวหน้าอำมาตย์  (เพราะในจิตสำนึกของคุณทักษิณไม่เคยคิดล้มสถาบัน  เนื่องจากเป็นบรรพบุรุษของตระกูลหัวหน้าอำมาตย์)  จึงไม่ได้ก่อกรรมใหม่กับสถาบัน   นานๆทีก็ฮึดสักที  เมื่อถูกกระทำจากกลุ่มอำมาตย์มากเข้า   แต่เมื่อทิ้งระยะก็ทำไม่ได้  เพราะใจคุณทักษิณมีเมตตากับสถาบันมาทุกชาติ   และเนื่องด้วยคุณทักษิณไม่ได้เป็นคนผูกเวรมากับหัวหน้าอำมาตย์และครอบครัว  มีแต่พวกกลุ่มอำมาตย์และบริวารอำมาตย์ผูกเวรผูกแค้นมากับคุณทักษิณ  ผสมโรงกับเมียหัวหน้าอำมาตย์ที่มักใหญ่ใฝ่สูงอยากมีอำนาจบารมีล้นฟ้าล้นแผ่นดิน  คิดว่าตัวเองเป็นอดีตผู้ยิ่งใหญ่มาเกิด  จึงสร้างความวุ่นวายไปทั่วประเทศ


ที่ทุกคนไม่หวังพึ่งคุณทักษิณอีกแล้ว สำหรับประชาธิปไตยถือว่าเป็นทางที่ถูกต้อง ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงได้ต้องเกิดจากพลังของคนหมู่มาก   ไม่ใช่คิดหวังรอใครต่อใคร  ไม่ว่าทั้ง "ผู้มีบุญ" ผู้วิเศษ" ผู้มีบารมี" หรือพระโพธิสัตว์"  มาช่วยปัดเป่าทุกข์เข็ญของตัวเองอีก   ถ้าสังคมไทยยังคิดรอใครมาเป็นผู้นำให้  นั่นแปลว่า  สังคมไทยยังไม่หลุดจากวังวนเดิม 


ผมถึงเชื่อมั่นว่า  เพราะคนเสื้อแดง หรือพวกใจประชาธิปไตยเริ่มน้อยใจคุณทักษิณมากขึ้น  อยากคิดลงมือทำด้วยตนเอง  และยิ่งถ้ารวมตัวสำเร็จ  ซึ่งผมก็เชื่อว่าสำเร็จแน่  เราจะเข้าสู่ยุค "มหาชนพาไป" ตามคำทายปลอมๆของพวกอำมาตย์นั่นเอง [เพราะความกลัว  จึงทำให้เสื่อม (ยิ่งกลัว ยิ่งดิ้น ยิ่งเข้าทางหายนะ : หนังเกาหลี "จูมง" เป็นตัวอย่าง)  อมตะวาจาของคุณสมัครใช้การได้เสมอ]


และถ้าพลังเสื้อแดงมุ่งมั่น  ไม่รอคุณทักษิณแล้วจริงๆ   นั่นแสดงว่าพวกอำมาตย์เลิกผูกเวรผูกกรรมกับคุณทักษิณแล้ว เพราะจิตคุณทักษิณยอมเสียสละตนเอง  ยอมรับวิบากกรรมของตัวเองอย่างแท้จริง   

No comments: