112 สยองพระเกียรติ
ตอนที่ 4 ไม่รักติดคุกนะ
ตอนที่ 4 ไม่รักติดคุกนะ
8 ธ.ค.2554 ผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างประเทศมาเฝ้าทำข่าวและถ่ายรูปโจ กอร์ดอนระหว่างเดินลงจากรถควบคุมผู้ต้องขังไปยังห้องขังรวมใต้ถุนศาลอาญา โดยโจ ในชุดนักโทษและใส่ตรวนที่ขาได้กล่าวทักทายกองทัพผู้สื่อข่าวสั้นๆ เป็นภาษาอังกฤษว่า “ Thank you for coming ” ขอบคุณที่มาครับ

เมื่อผู้พิพากษานั่งบัลลังก์ หนึ่งในนั้นได้สอบถามโจเกี่ยวกับคำให้การต่อพนักงานตามที่เขาให้การไว้ว่า 1.ไม่เคยสนใจการเมืองไทยมาก่อน 2.ไม่เคยรู้จักกับใครทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง 3.ไม่ใช่นายสิน แซ่จิ้ว [เจ้าของบล็อกที่ถูกฟ้อง] และ4.ไม่เคยโพสต์ข้อความหมิ่นประมาทกษัตริย์ ผู้พิพากษาอธิบายว่ากคำให้การขัดกับการรับสารภาพของเขา ทนายรีบแจ้งต่อศาลว่า คำให้การนี้หมายถึงในกรณีอื่น นอกเหนือจากกรณีที่ถูกฟ้องนี้

โจ ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศนับสิบคนที่นั่งยองๆ ล้อมวงสัมภาษณ์เขากันแบบสดๆ ทันทีหลังฟังคำพิพากษา ว่า เขาไม่ค่อยเข้าใจกระบวนการยุติธรรมของไทยเท่าไรนักและเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเป็นพิเศษกับการตัดสินของศาลประเทศนี้ การล้อมวงสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าผู้พิพากษาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ระหว่างรอเจ้าหน้าที่พิมพ์รายงาน ซึ่งผู้พิพากษาก็ไม่ได้ว่ากล่าวแต่อย่างใด เขากล่าวตอนหนึ่งว่า “ มันทำให้เห็นว่าประเทศไทยยังมีปัญหาเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ”

นายอานนท์ นำภาทนายความ ระบุว่าข้อความในบล็อกนั้นเป็นข้อความทางวิชาการ และแปลเนื้อหาในหนังสือ The King Never Smilesบางบท มีการเขียนบรรยายว่า เป็นไปเพื่อการศึกษาประวัติศาสตร์ในอีกด้านหนึ่งของประเทศไทย พร้อมทั้งกำชับให้ผู้อ่านให้อ่านเชิงอรรถเพื่อพิจารณาว่าข้อสรุปของผู้เขียน Paul M. Handley เชื่อถือได้หรือไม่เพียงใด
ขณะที่นางอลิซาเบธ แพรตต์(Elizabeth Pratt) กงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกาที่มาร่วมฟังคำพิพากษาตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า มันยังเป็นโทษที่หนักมากสำหรับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
นับแต่ถูกจับกุมโจปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาโดยทันทีและถูกควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ และทนายได้ยื่นหลักทรัพย์เพื่อขอประกันตัวโดยอ้างสิทธิพื้นฐาน และยังระบุว่าโจมีโรคความดันโลหิตและโรคเกาต์ที่ต้องการการรักษา แต่ศาลปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าเป็นข้อหาที่กระทบต่อความมั่นคงและกระทบต่อสถาบันกษัตริย์ซึ่งมีโทษสูง และเขาอาจทำลายพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องได้
![]() |
นับแต่ถูกจับกุมโจปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาโดยทันทีและถูกควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ และทนายได้ยื่นหลักทรัพย์เพื่อขอประกันตัวโดยอ้างสิทธิพื้นฐาน และยังระบุว่าโจมีโรคความดันโลหิตและโรคเกาต์ที่ต้องการการรักษา แต่ศาลปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าเป็นข้อหาที่กระทบต่อความมั่นคงและกระทบต่อสถาบันกษัตริย์ซึ่งมีโทษสูง และเขาอาจทำลายพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องได้


ในคำฟ้องของโจทก์ได้ให้น้ำหนักกับหนังสือต้องห้ามดังกล่าว ทำให้คำถามต่อหนังสือ The King Never Smiles ยังเป็นคำถามใหญ่ที่ยังไม่มีความชัดเจน



เรื่องการไม่ได้ประกันตัวเป็นสิ่งที่โจไม่สามารถเข้าใจได้ และมักจะพูดถึงเสมอ เขาว่าที่อเมริกาไม่มีทางทำแบบนี้ เพราะเขายังไม่ถูกตัดสินว่ากระทำผิดแต่อย่างใด โจป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงด้วย และไม่ค่อยไปรับยาที่โรงพยาบาลในเรือนจำ เจ้าหน้าที่จากสถานทูตอเมริกาที่คอยเข้าเยี่ยมเขาเป็นระยะบอกกับเขาว่าอย่างไรเสียเขาควรไปรับยาที่โรงพยาบาล คำตอบจากโจคือ การไปรับยานั้นต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันรอคิว นอกจากนี้เขายังรับไม่ได้กับการปฏิบัติต่อนักโทษจากบุคคลากรในเรือนจำ
โจ ใช้ชีวิตอยู่อเมริกานาน เกือบ 30 ปี อาจจะนานเกินไปจนทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นคนอเมริกันมากกว่าคนไทย เขาเดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อราว 2 ปีก่อน เนื่องจากภรรยาของเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และเขาเองต้องการกลับมารักษาตัวในประเทศบ้านเกิดซึ่งค่ารักษาพยาบาลถูกกว่ามาก
โจให้สัมภาษณ์จากห้องขังว่า ประเทศนี้ดีทุกอย่าง แต่คนไทยเป็นคนไม่ยอมรับความจริง มองจากข้างนอกบรรยากาศเหมือนจะเปิดกว้าง แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่

เนื่องจากจำเลยตัดสินใจไม่ต่อสู้คดี ทำให้ผู้ที่สนใจติดตามกรณีนี้ซึ่งเกี่ยวพันกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี ไม่สามารถหาคำตอบในการเชื่อมโยงสู่การจับกุมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งหมดกระทำการในสหรัฐอเมริกา
โจระบุว่า เจ้าหน้าที่ถามเขาหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ซึ่งเป็นคำถามที่ไม่มีทางที่คนจะถามกันในประเทศที่เขาอยู่ นอกจากนี้ยังถามเขาว่า รู้จักกับทักษิณใช่ไหม รู้จักแกนนำคนใดบ้าง ฯลฯ ซึ่งมันสร้างความประหลาดใจให้เขามากพอควร

"ทางการสหรัฐอเมริการู้สึกยินดีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานอภัยโทษให้แก่นายกอร์ดอน ทางการสหรัฐได้เร่งให้ทางการไทยดูแลเรื่องดังกล่าวเพื่อให้แน่ใจว่าเสรีภาพ ในการแสดงออกจะได้รับการปกป้องตามพันธสัญญาระหว่างประเทศ”
นอกจากนี้ ยังมีสำนักข่าวต่างประเทศอื่นๆ ให้ความสนใจโดยรายงานข่าวกรณีดังกล่าวอย่างกว้างขวาง อาทิ หนังสือพิมพ์ยูเอสเอ ทูเดย์, ฟอกซ์, วอยซ์ ออฟ อเมริกา,วอลล์สตรีท เจอร์นัล, นิวยอร์กไทมส์ของสหรัฐฯ บีบีซี ของอังกฤษ และดอยเชอร์ เวลเลอร์ของเยอรมนี
ติดคุกเพราะแค่ส่งอีเมลล์ต่อ


13 ตุลาคม 2552 ดีเอสไอยกกำลังราว 10 คน มาจับณัฐที่คอนโด โดยที่เขาไม่ได้รู้เรื่องนี้มาก่อน เขาได้ยินเสียงทุบประตูห้องตัวเองดังมากๆ พอเขาเดินไปเปิดประตู ก็พบชายหญิงเป็น 10 คนยืนอยู่ข้างหน้า ในชุดพนักงานออฟฟิศ เจ้าหน้าที่แสดงตัวและแจ้งว่าเขาได้ส่งคลิปที่มีเนื้อหาหมิ่นฯ และใช้คำเกี่ยวกับสถาบัน พอได้ฟังณัฐก็ตกใจ เขาถูกล็อคตัวแล้วใส่กุญแจมือ ตามด้วยการค้นห้องพักจนหมด พร้อมยึดเอกสาร ซีดี คอมพิวเตอร์ ไดอารี่

หนึ่งเดือนต่อมาเขาถูกหมายเรียกไปที่กรมสืบสวนคดีพิเศษอีกครั้ง โดยเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพิ่มเติมจากข้อหาเดิม ณัฐเริ่มเครียดหลังทราบข้อกล่าวหาเพิ่ม และคิดว่าตนเองว่าคงต้องติดคุกแน่ๆ “ผม ถูกมองว่ามีเจตนาหมิ่น แม้จะไม่ได้สร้างเว็บ ไม่ได้ทำคลิปโดยตรง แต่ได้เอาอะไรที่ไม่บังควร ไปเล่า ส่งต่อ จะหาว่าหมิ่นให้ได้ แต่คลิปนั้นมันมีในเว็บมาแล้ว ผมไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นคลิปที่ไม่ได้แต่ง มันเป็นของจริง มันอยู่ในอินเตอร์เนทเรียบร้อยแล้ว”
14 ธันวาคม 2552 ศาลออกหมายนัดให้ไปรายงานตัว เขาไปคนเดียว ไม่มีทนาย ไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียวไปด้วยเพราะไม่รู้จะติดต่อใครในคดีแบบนี้ เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ศาลถามเขาว่าจะเอาอย่างไร จะรับสารภาพหรือไม่ ถ้ารับก็ตัดสินเลย ตอนนั้นเขารู้สึกมืดมนมาก ไม่รู้เลยว่าจะสู้อย่างไร ทำอะไรได้บ้าง เพราะรู้ดีว่าที่ผ่านมาคดีแบบนี้แทบไม่มีใครชนะ หรือหากรับสารภาพไปแล้วจะมีโทษเท่าไร จะได้ลดโทษขนาดไหน เขาคิดไม่ออกจริงๆ


จนกลางปี 2553 มี การประกาศรับสมัครคนงานฝ่ายการศึกษา โดยเปิดรับนักโทษที่มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ให้มาสมัคร ณัฐไปกรอกใบสมัครไว้เพราะทนปั่นถ้วยไม่ไหว หลังจากนั้นก็ถูกเรียกไปทดสอบการพิมพ์ดีด การใช้โปรแกรมต่างๆ จนผ่านและได้รับการบรรจุในฝ่ายการศึกษา เข้าไปทำหน้าที่หานักโทษเข้ามาเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ และเป็นผู้ช่วยสอนการใช้คอมพิวเตอร์ ใช้โปรแกรมต่างๆ แก่นักโทษในเรือนจำ ซึ่งทำให้งานในคุกของเขาเบาลง
ช่วงติดคุก เขารู้สึกว่าเป็นวันเวลาที่ตกต่ำที่สุดในชีวิต เขาปรับตัวไม่ได้เลยตลอดเวลาที่อยู่ในคุก เนื่องจากนิสัยชอบอยู่คนเดียว มีโลกส่วนตัว แต่เรือนจำมิใช่สถานที่ที่มีพื้นที่แบบนั้น มันเหมือนการอยู่ในสถานที่แบบโรงเรียนรวมกับตลาดสด ในโรงเรียน เราถูกบังคับให้เข้าแถว นับยอดทุกๆ วัน ขณะตลาดสดก็เต็มไปด้วยผู้คนและเสียงจอแจหนวกหูอยู่ตลอดเวลา พร้อมๆ กับความแออัดยัดเหยียดของผู้คนในจำนวนที่เกินกว่าคุกจะรับได้ จนแทบหาความสงบไม่ได้ มิหนำซ้ำยังเดินหนีไปไหนก็ไม่ได้เนื่องจากมีรั้วกรงล้อมทุกด้าน ตอนเข้าไปติดคุกใหม่ๆ เขาคิดว่าจะตายในคุกด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าจะอยู่ได้ แต่ก็อยู่มาได้แบบทุกข์ทรมาน เขาปรับตัวไม่ได้ตลอดเวลาที่อยู่ในคุก เขาจะเป็นโรคหดหู่ ซึมเซา สีหน้าจะแย่ตลอด หลายคนในคุกจะถามเขาว่ามึงไหวหรือเปล่า ท่าทางอาการเช่นนั้น ทำให้ณัฐถูกนักโทษร่วมคุกบางคนเรียกว่าไอ้รั่ว อันเป็นคำที่ใช้เรียกคนที่ปรับตัวเข้ากับคุกไม่ได้ พวกอยู่ในคุก แต่ใจอยู่นอกคุกหรือจิตหลุดนิดหน่อย เช่น พวกถูกเมียที่อยู่ข้างนอกทิ้งหรือไม่มีใครมาเยี่ยม

จากตัวคนเดียว เขาเริ่มได้รู้จักนักโทษคดี 112 คน อื่นๆ เริ่มจากลุงวันชัย ที่อยู่ในแดนเดียวกันเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมคนแรกที่เขาได้รู้จัก ตามด้วยสุชาติ นาคบางไทร ที่ถูกจำแนกเข้ามาในแดน 4 เช่นเดียวกันในช่วงต้นปี 2554 หลัง จากนั้นก็ได้รู้จักกับหนุ่ม เรดนนท์ ที่คอยเป็นปากเป็นเสียงให้หลายคนในคุก หนุ่มได้แจ้งข่าวกับคนภายนอกคุกว่ายังมีณัฐและลุงวันชัยเป็นนักโทษคดี 112 อยู่ในคุกด้วย ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2554 เป็นต้นมา จากที่ไม่ค่อยมีใครมาเยี่ยมนัก ก็มีคนเสื้อแดงหรือผู้สนใจคดีนี้ซึ่งกำลังเป็นกระแสสังคมไปเยี่ยมเขามากขึ้น ทำให้ณัฐเริ่มสบายใจขึ้น มีความหวังว่าคนข้างนอกจะไม่ทิ้งกัน

โทษทัณฑ์เช่นนี้ณัฐยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกว้าเหว่ เหมือน 112 เป็น ข้อหาที่ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านชาวช่อง ทั้งโทษก็ไม่เหมือนชาวโลก เพราะขัดกับหลักสิทธิและมนุษยธรรม เขาบอกว่าพี่สมยศยังเคยล้อกันเล่นกับนักโทษคดีนี้ที่รวมกลุ่มกันในคุก ว่าน่าจะตั้งเป็นคณะ 112 ในเรือนจำเสียเลย

หลังออกจากคุกมา ณัฐก็ยังต้องไปรายงานตัวที่ศาล เพื่อควบคุมความประพฤติตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา กระทั่งล่าสุด เขาเพิ่งได้รับใบบริสุทธิ์จากเรือนจำ อันเป็นใบแสดงว่าผู้ต้องขังพ้นโทษอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาบอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมใช้ชื่อนี้ แต่เป็นตลกร้ายเหมือนกันที่ ความบริสุทธิ์จะได้มาเมื่อการลงทัณฑ์สิ้นสุดแล้ว
ช่วงที่ผ่านมา ณัฐยังมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเพื่อนนักโทษในเรือนจำ เขาบอกว่ารู้สึกแย่ ที่เพื่อนๆ ที่ร่วมทุกข์สุขกันมายังอยู่ในคุก ถ้าไม่ได้รู้จักเพื่อน 112 และคดีอื่นๆมาเลย เขาอาจไม่เคลื่อนไหวอีกแล้ว แต่เพื่อนเหล่านั้นก็ให้กำลังใจกันมา จะทำเป็นไม่รู้จักกันเลยก็ไม่ได้ เลยยังอาลัยอาวรณ์อยู่
บทเรียนสำคัญในคุกที่ณัฐอยากบอกกับสังคม คือปัญหา ของกระบวนการยุติธรรมไทยทั้งหมด คดีส่วนใหญ่ที่เขาได้พบในเรือนจำเป็นคดีคนจน คดีหลักทรัพย์โดยคนไม่มีกิน ไม่มีงานทำ ในคุกทำให้เห็นว่าระบบยุติธรรมของไทยเลวร้ายมากเพราะเล่นงานแต่คนจน มีคนที่จนมากๆ และไม่ได้ทำผิด แต่ติดคุกเพราะไม่มีเงินสู้คดี คนจนจึงติดคุกง่ายมาก ขณะที่คนรวยๆ ดูง่ายกว่าที่จะชนะคดี และมีโอกาสสู้คดีได้มากกว่า รวมทั้งเคลียร์ตัวเองได้ง่ายกว่า เขาสรุปบทเรียนว่าระบบกฎหมายมันเอื้อให้เฉพาะกลุ่มคนมีเงินและมีอำนาจ
หรือแม้แต่นักโทษคดี112 เท่าที่ได้สัมผัส เขาเชื่อว่าคนอย่างอากง หรือโจ กอร์ดอน ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย เพราะต่างไม่ได้เป็นคนส่งข้อความหรือคนแปลเอกสารตามที่ถูกกล่าวหา หากกลับต้องประสบชะตากรรมเช่นนั้น ณัฐบอกว่าตามความเข้าใจของเขา สื่อเป็นสิ่งที่ทรงอิทธิพลมาก การประโคมข่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับโฆษณาที่เปิดซ้ำๆ ทำให้คนไปเกลียดคนที่ก่อคดีต่างๆ โดยไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้
อยากให้สังคมคำนึงถึงความเป็นคนให้มากกว่านี้ เห็นค่าของความเป็นคนของทุกๆ คน อย่ามองคนเป็นแค่เศษฝุ่นหรือเศษอะไร...
หลังออกมาสูดกลิ่นของเสรีภาพภายนอกแล้ว ณัฐยังฝันร้ายบ้างเป็นบางคืน อาการซึมเศร้ายังมีอยู่บ้าง ซึ่งคงต้องใช้เวลาเป็นเครื่องเยียวยาต่อไป แต่เขาก็ได้ตระหนักชัดถึงคำว่าอิสรภาพดีขึ้น ในเรือนจำนั้น ณัฐแทบไม่เคยนอนตื่นสายเลย ทุกๆ เช้า 6 โมง นักโทษทุกคนต้องตื่น และทำการเช็คยอดทุกวัน ก่อนลงมือปฏิบัติกิจซ้ำซากในแต่ละวัน หากเมื่อออกมาจากที่นั้นแล้ว ช่วงนี้เขาสามารถนอนตื่นสายได้ ซึ่งไม่เคยทำมาก่อนตลอดเวลา 2 ปี 4 เดือน มันทำให้เขาตระหนักถึงส่วนหนึ่งของความหมายของอิสรภาพ
รู้สึกเสียดายเวลา 2 ปีกว่าในคุก เวลาซื้อกลับคืนไม่ได้ ถ้าใครไม่ติดคุก ควรจะซาบซึ้งกับอิสรภาพ ไม่ต้องไปถูกกักขังเหมือนสัตว์ อย่างนักโทษในเรือนจำ
ช่วงที่ผ่านมา ณัฐยังมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเพื่อนนักโทษในเรือนจำ เขาบอกว่ารู้สึกแย่ ที่เพื่อนๆ ที่ร่วมทุกข์สุขกันมายังอยู่ในคุก ถ้าไม่ได้รู้จักเพื่อน 112 และคดีอื่นๆมาเลย เขาอาจไม่เคลื่อนไหวอีกแล้ว แต่เพื่อนเหล่านั้นก็ให้กำลังใจกันมา จะทำเป็นไม่รู้จักกันเลยก็ไม่ได้ เลยยังอาลัยอาวรณ์อยู่


อยากให้สังคมคำนึงถึงความเป็นคนให้มากกว่านี้ เห็นค่าของความเป็นคนของทุกๆ คน อย่ามองคนเป็นแค่เศษฝุ่นหรือเศษอะไร...
หลังออกมาสูดกลิ่นของเสรีภาพภายนอกแล้ว ณัฐยังฝันร้ายบ้างเป็นบางคืน อาการซึมเศร้ายังมีอยู่บ้าง ซึ่งคงต้องใช้เวลาเป็นเครื่องเยียวยาต่อไป แต่เขาก็ได้ตระหนักชัดถึงคำว่าอิสรภาพดีขึ้น ในเรือนจำนั้น ณัฐแทบไม่เคยนอนตื่นสายเลย ทุกๆ เช้า 6 โมง นักโทษทุกคนต้องตื่น และทำการเช็คยอดทุกวัน ก่อนลงมือปฏิบัติกิจซ้ำซากในแต่ละวัน หากเมื่อออกมาจากที่นั้นแล้ว ช่วงนี้เขาสามารถนอนตื่นสายได้ ซึ่งไม่เคยทำมาก่อนตลอดเวลา 2 ปี 4 เดือน มันทำให้เขาตระหนักถึงส่วนหนึ่งของความหมายของอิสรภาพ
รู้สึกเสียดายเวลา 2 ปีกว่าในคุก เวลาซื้อกลับคืนไม่ได้ ถ้าใครไม่ติดคุก ควรจะซาบซึ้งกับอิสรภาพ ไม่ต้องไปถูกกักขังเหมือนสัตว์ อย่างนักโทษในเรือนจำ
จากบันทึก ของปรวยหัวเข็ม

ผมเปิดประตูให้เขามานั่งในรถผม เขาเอาหมายค้นให้ดู ผมดู ศาลแม่งขยันฉิบหายอออกหมายค้นให้วันอาทิตย์ (วันที่เขามาจับผมวันจันทร์) ชายคนนั้นถามผมว่า ผมไปโพสรูปอะไรในเว็บ ตอนนั้นผมนึกว่าเขาหมายถึงภาพตัดต่อ แวบแรกผมนึกถึงรูปลิง ทำให้ผมมั่นใจว่า ผมไม่เคยโพส รูปแบบนั้นแน่ๆ ผมเลยบอกไปว่าไม่มี ผมไม่เคยโพสรูป เขาบอกผมว่าผมทำผิดเรื่องความมั่นคง ผมเลยสวนไปว่าความมั่นคงบ้าอะไรของพวกคุณ คุณเอาความมั่นคงของประเทศชาติไปผูกไว้กับครอบครัวครอบครัวเดียว แบบนั้นไม่ใช่ความมั่นคงของประเทศ ตำรวจนายนั้นเลยชะงักไปหน่อย คงคิดในใจว่า งานนี้ไม่หมูแน่ๆ
จากนั้นเขาบอกให้ผมกลับเข้าไปในบ้าน ให้แกล้งบอกยามว่ามาปาร์ตี้กัน เดี๋ยวจะมีรถเจ้าหน้าที่ตามมาอีกสี่ห้าคัน ผมถึงรู้ว่าไอ้รถที่รายล้อมผมอยู่นั้นเป็นรถ DSI ทั้งหมด ผมนึกในใจ ผมคงไปฆ่าใครตายมั้ง มันถึงแห่กันมาขนาดนี้
ถึงบ้านตอนแรกผมก็บอกยังไม่ให้เข้าบ้าน เดี๋ยวจะเรียกทนาย ตอนนั้นผมโกรธมาก เลยโวยวายไปว่าอ้อนี่เห็นว่ามีอำนาจจาก พรก. เลยจะใช้ปืนกดหัวประชาชนหรือไง ผมไม่ได้โง่ ไม่ใช่ตาสีตาสานะ
เจ้าหน้าที่ผู้หญิงรีบบอกว่าไม่มี ไม่มีใครมีปืน เจ้าหน้าที่ที่มาที่บ้านผม มีเกือบยี่สิบคน
หลังจากนั้นแม่กับป้าก็บอกให้ผมใจเย็นๆ อยากค้นอะไรก็ค้นไปตามสบาย เจ้าหน้าที่ก็เริ่มค้นในรถในบ้าน โดยผมตั้งใจเดินกวนตามตลอด
เขาถามหาโน้ตบุ๊คผม ผมก็พาขึ้นไปบนห้อง ให้ไปทั้งตัวเก่าและตัวใหม่ บนห้องนอนผมจะมีชั้นหนังสือเต็มผนัง ทั้งหนังสือพ๊อคเก็ตบุ๊คและดีวีดี ซึ่งก็เป็นที่สนใจของเจ้าหน้าที่DSI ตัวหัวหน้าที่ไปเห็นหนังสือ การปฏิวัติฝรั่งเศสสามเล่ม แกก็ดูตื่นเต้นบอกนี่ไงๆ ผมบอกอะไรนี่มัน พศ. 2553 นะครับ ไม่ใช่ 2519 จะได้มีความผิด หนังสือแบบนี้เขาขายกันทั่วไป แกก็หัวเราะบอกว่าเปล่าไม่มีอะไร แกบอกลูกน้องให้เอาไปด้วยเพื่อจะได้รู้แนวคิด แต่ลูกน้องก็ลืมหยิบไป
ขณะที่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ กำลังค้นของอยู่นั้น ตัวหัวหน้าและอีกคนก็พยายามคุยกับผมดีๆ ผมก็คุยดี แต่ผมก็พูดตรง เพราะโอกาสแบบนี้คงไม่มีบ่อยนักที่ผมจะได้พูดตรงๆกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง แกบอกว่าอ่านหนังสือเยอะนะ ผมบอกครับก็เพราะผมอ่านเยอะไง ผมถึงรู้อะไรเยอะ รู้ว่าอะไรถูกอะไรไม่ถูก รู้ว่าทำไมตอนนี้มันถึงสองมาตราฐาน รู้ว่าทำไมตอนยึดทำเนียบปิดสนามบิน ไม่มีใครทำอะไร มาตอนนี้มันไล่ฆ่าประชาชน ตำรวจหัวหน้าแกก็หัวเราะแล้วหันมาพยักเพยิดกับผมบอกว่าเนอะ ตอนนั้นตายสองคนตำรวจโดนสอบ ตอนนี้ตายแปดสิบกว่าคนไม่เป็นไร ผมไม่รู้แกพูดเพื่อให้ผมรู้สึกมีพวกหรือแกรู้สึกจริงๆผมก็ไม่ทราบได ้ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจ
พอลงมาข้างล่างมาที่โต๊ะทำงาน คราวนี้หนังสือบนโต๊ะยิ่งเป็นที่สนใจของ DSI มากขึ้น 4-5 เล่มที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นล้วนเป็นหนังสือของท่านปรีดีทั้งสิ้น เล่มนึงเป็นเค้าโครงเศรษฐกิจของท่านปรีดี ผมกำลังสนใจเรื่องนี้ สนใจเรื่องสวัสดิการสังคมที่ท่านคิดมาตั้งแต่ก่อนปี 2500 แต่กลับถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ผมว่ากำลังจะหาแง่มุมมาทำสารคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำแบบให้เข้าใจง่ายๆ ไม่ต้องปีนกะไดฟัง ปีนกะไดดู

เมื่อได้ของจนพอใจ จากนั้นก็ให้ผมเซ็นรับ ปิดผนึกอย่างดี บอกว่าจะเปิดก็เมื่อเปิดต่อหน้าผมเท่านั้น เอาของไปเก็บไว้แล้วจะนัดผมไปเปิดซองตรวจของกันทีละชิ้น ผมก็เซ็นๆไป ผมบอกว่าโน้ตบุ๊คของน้องสาวผม ไม่เกี่ยวช่วยกรุณาเอามาคืนเขาไวๆด้วย เพราะเขาไม่เกี่ยวและจริงๆก็ไม่ควรเอาไปด้วย แต่ตำรวจหัวหน้ารีบบอกว่าไม่ได้ต้องเอาคอมไปให้หมดเพื่อตรวจสอบ โชคดีผมไม่ได้บอกว่าผมมีเครื่อง Imac รุ่นแรก กับ mac LCII รุ่นจอขาวดำที่ผมเก็บสะสมอยู่ด้วย ถ้าบอกคาดว่าแกคงให้ลูกน้องเอาไปด้วย
จากนั้นเขาก็บอกให้ผมไปที่ DSI ผมถามว่าจะควบคุมตัวผมเลยหรือไม่ ผมจะได้เตรียมตัว เจ้าหน้าที่รีบบอกว่าเปล่า แค่ไปสอบสวน ขับรถไปได้เลยเอาแม่ไปด้วย ผมบอกแถวนั้นมันหลายประตูผมกลัวเข้าไม่ถูกถ้าเลยแล้วกลับรถไกล ให้ตำรวจมานั่งรถผมคนนึงจะได้คอยบอกทาง ตำรวจนายนึงที่ดูท่าทางเป็นมิตรก็ขึ้นมานั่งรถผม
จริงๆ ระหว่างตรวจค้นในบ้านตำรวจก็พยายามคุยเรื่องทั่วไป ผมเข้าใจว่าคงเพื่อให้ผมผ่อนคลายและรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้จะทำร้ายอะไร ซึ่งดูของทุกอย่างในบ้านผมจะเป็นที่สนใจของตำรวจไปหมด ไม่ว่าจะเป็นแผ่นเสียง เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องเสียง ตำรวจบางนายถามผมว่าชอบฟังเพลงอะไร ผมบอกว่าชอบฟังแจ๊ซ แกก็บอกเออผมก็ชอบ วันหลังมาขอฟังบ้างเพราะแกก็เล่นเครื่องเสียง บางคนเห็นจักรยานผมก็สนใจ ผมก็อธิบายให้ฟังว่าจักรยานที่มันแพงๆหน่อยมันดีกว่าจักรยานธรรมดายังไง บรรยากาศช่วงนี้เหมือนเพื่อนมาปาร์ตี้ที่บ้านจริงๆ
เขาสอบสวนผมยังไง

ผมคิดว่าถึงแม้ผมอาจจะติดคุก แต่เมื่อวันหนึ่งความจริงปรากฏ มันก็จะถูกบันทึกไว้ว่า ที่ประเทศไทยเมื่อปี 2553 มีประชาชนพูดความจริงแล้วถูกจับเข้าคุก ถ้าคนที่ลงมือทำเขายังมีชีวตอยู่ ผมก็อยากดูว่าเขาจะทำหน้ายังไง เหมือนกับวันนี้ มีใครสักคนไหมที่กล้าบอกอย่างภูมิใจว่า เมื่อวันที่ 6ตุลาคม 2519 ว่าตนเองนี่แหละที่ผูกคอนักศึกษาที่ต้นมะขาม ตนเองนี่แหละที่เอาเก้าอี้ฟาดศพนักศึกษา ตนเองนี่แหละที่เอายางรถยนต์เผานักศึกษา มีใครกล้าพูดไหม

จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เข้ามาในห้อง สี่ห้าคน มีคนใหม่เข้ามาเพิ่ม เขาจัดการเปิดคอมฯให้ผมเพื่อให้เข้าไปที่เว็บประชาไท แต่ก็ขำดี ก็ตอนนี้ ICT มันบล๊อกเว็บอยู่ เลยเข้าไม่ได้ ผมก็ถามเขาว่าไม่มีโปรแกรมทะลวงเว็บเหรอ DSIน่าจะมีนะ เขาก็ถามผมว่าผมเข้ายังไง ผมก็บอกของผมเครื่องแมคมันมีโปรแกรมเข้าได้ แต่พีซีนี่ผมไม่รู้ผมไม่เคยใช้เครื่องพีซี แต่บางทีถึงมีโปรแกรมก็เข้าไม่ได้เพราะช่วงนี้เขาบล๊อกอย่างแน่นหนา น่าจะรู้
พวกเขาก็พยายามกันใหญ่อยู่พักนึง สุดท้ายเขาเลยบอกงั้นไปอีกห้องนึงดีกว่า เครื่องห้องนี้โดนบล๊อกไว้และไม่มีโปรแกรมทะลวง
เขาพาผมไปอีกห้องหนึ่ง คราวนี้เข้าได้ เขาเลยให้ผมลองล๊อคอินเข้าไปในประชาไทให้ดู จริงๆเขาก็รู้หมดอยู่แล้วว่าผมล๊อคอินอะไร และพาสเวิร์ดอะไร เพราะตัวหัวหน้าบอกผมเองว่าพาสเวิร์ดคุณนี่โคตรยากเลยตั้งสิบตัวกว่าจะแกะได้

ตัวหัวหน้าเหมือนโดนจี้ใจดำ เขาบอกว่าไม่มีไม่มีทางที่ข่าวจะรั่วได้ พูดเสร็จก็หุนหันออกไป ตัวคนที่ดูเซียนๆเรื่องคอมฯก็บอกไหนลองอีกที ผมลองหลายครั้งก็เข้าไม่ได้ เขาเลยบอกว่าเออสงสัยโดนลบออกไปแล้ว ไหนลองเข้าประชาไทอีกทีซิ คราวนี้ผมกลับมาลองประชาไท ปรากฏว่าประชาไทเมื่อกี้เข้าได้ คราวนี้ก็เข้าไม่ได้แล้ว เจ้าหน้าทีรายนี้เลยสรุปว่า โอเคพอแล้ว เข้าไม่ได้แล้วละโดนลบออกจากสมาชิกแล้ว จังหวะนั้นตัวหัวหน้าก็โผล่เข้ามาอีกทีด้วยอาการฉุนๆ ถามผมว่าผมได้บอกใครหรือเปล่าว่าโดนจับ ผมบอกเปล่าไม่ได้บอกใคร เขาบอกไม่ได้บอกใครแล้วทำไมมีคนรู้ นี่ไง มีคนตั้งกระทู้ที่ประชาไท เขาบอกว่าตั้งมาจากออฟฟิสอะไรสักอย่างผมจำไม่ได้แล้ว นั่นหมายความว่าDSI สามารถรู้ได้ในทันทีว่าในประชาไท ใครตั้งกระทู้ตอบกระทู้มาจากไหน
ก่อนหน้านี้ตำรวจที่ทำเรื่องคอมฯก็บอกผมว่า เขารู้ตั้งนานแล้วว่าใครคือปรวย เหมือนกับที่ตัวหัวหน้าบอกผมว่าเขาตามดูผมมานานแล้ว ไปเฝ้าทั้งที่ออฟฟิส ทั้งที่แถวบ้าน ผมนึกในใจโอช่างขยันกันจริงๆ แล้วนี่ถ้าเกิดไม่มีกฎหมายหมิ่นฯแล้ว คนไม่ตกงานเหรอนี่
จากนั้นเขาก็พาผมกลับไปที่ห้องเดิม ชีสเบอร์เกอร์ก็มารอท่าแล้ว เขาให้เวลาผมกินอาหารก่อน เสร็จแล้วเดี๋ยวจะเริ่มสอบสวน ผมกินไม่ได้มากเท่าไหร่ด้วยใจจะรีบทำให้จบๆ เหมือนกับว่ามามะ เดี๋ยวเราจะขึ้นสังเวียนกันแล้ว
กินเสร็จเขาก็เริ่มสอบสวนผม โดยมีตำรวจ 4-5 นายนั่งรายล้อมผม และก็มีเจ้าหน้าที่อีกคนสองคนนั่งในห้องนั้นด้วย
เจ้าหน้าที่ที่ชอบทำหน้ามึนๆ ก็เริ่มถามผม โดยรวมก็ถามว่า ล๊อคอินที่ผมใช้นี่ใช้กี่คน รู้จักใครในเว็บบ้าง ผมเป็นเว็บมาสเตอร์หรือเปล่า ผมมีหน้าที่อะไรในเว็บ ซึ่งการสอบสวนแบบนี้ก็มองได้สองอย่าง หนึ่งอยากรู้ว่าเรามีขบวนการหรือเปล่า สองถามเพื่อให้มัดว่าล๊อคอินนี้เป็นเราแน่นอนไม่ผิดตัว ก็อย่างที่บอกไปแล้ว ผมตั้งใจว่าจะพูดความจริง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะถามเพื่อจุดประสงค์อะไรผมก็พูดความจริง ผมบอกล๊อคอินผมเองแหละไม่ได้ใช้ร่วมกับใครและผมเป็นแค่สมาชิก ..... ก็จบเรื่องเทคนิคไป


เอาละพอแล้วเขาบอก จากนั้นเขาก็ให้ผมเซ็นต์ชื่อตรงแผ่นที่มีรูป คมช. เข้าเฝ้าในหลวง
จากนั้นตัวหัวหน้า ก็เริ่มถามผมว่า ไหนลองเล่าให้ฟังซิว่าทำไมคุณถึงคิดว่าสถาบันไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ผมแทบขำกับคำถามนี้ แต่ก็เหมือนเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้พูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนฟัง อย่างน้อยก็ 5-6 คนในห้องนี้แหละ

ตัวหัวหน้าบอกเอ้าไหนว่ามาซิ ไหนในหลวงท่านไปยุ่งยังไง ผมอยากรู้เหมือนกัน ผมจะเอาข้อมูลนี้ไปเขียนผลวิจัยว่าพวกนี้เขาคิดกันยังไง
ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนไฟมันถูกจุดติดในตัวผมแล้วครับ เหมือนยืนพูดอยู่กลางสนามหลวง

ตอนนี้เจ้าหน้าที่ในนั้นทำมึนกันหลายคน ถามว่าท่านพูดกับใคร
ผมเลยเล่าต่อ ท่านพูดกับผู้พิพากษาไงครับ ท่านปรึกษาว่ามีทางทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้ไหม การเลือกตั้งพรรคเดียวไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งๆที่มีพรรคเล็กพรรคน้อยลงเลือกตั้งอีกตั้งหลายพรรค พวกนั้นเขาไม่ใช่คนไทยเหรอครับ แล้วท่านเป็นตำรวจท่านไม่สงสัยบ้างเหรอครับว่า การจะตัดสินอะไรมันต้องมีการสอบสวนตามขบวนการ แล้วจึงตัดสินไปตามขั้นตอน แต่นี่ไม่กี่วัน ศาลรวมหัวกันออกมาบอกว่าให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ มันไม่ผิดปกติหรือครับ รวมทั้งเอาท่านวาสนาไปติดคุก ท่านเป็นตำรวจเหมือนกันไม่รู้สึกอะไรหรือครับ
แล้วไงต่อ เสียงเจ้าหน้าที่ในห้องนั้นเขี่ยไฟในตัวผม

วันรัฐประหาร นายทหารที่เข้าเฝ้ากำลังทำผิดกฏหมายอาญามาตรา 113ท่านเป็นตำรวจท่านรู้ใช่ไหมครับ ผมถามต่อว่า กฎหมายอาญามาตรานี้ยังใช้อยู่หรือเปล่าครับ แล้วการรัฐประหารนี่เป็นประชาธิปไตยหรือครับ มันไม่เป็นประชาธิปไตยแต่ทำไมท่านไม่ตรัสอะไรบ้างครับ ทำไมกล้าตรัสว่าการเลือกตั้งพรรคเดียวไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นโมฆะได้ แต่ไม่กล้าตรัสว่าการทำรัฐประหารไม่เป็นประชาธิปไตยบ้างละครับ
.....เงียบไม่มีใครตอบอะไร

อันนี้ผมตอบแบบหัวเราะเลยครับ โห ท่านเคยได้ยินวันตาสว่างแห่งชาติหรือเปล่าครับ แน่นอนตามระเบียบตำรวจต้องทำเป็นมึนไม่รู้จัก
งานศพน้องโบว์ไงครับ ผมเล่าต่อ น้องโบว์นี่ตายหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลใช่ไหมครับ ตอนนั้นพวกพันธมิตรกำลังพยายามจะเข้ายึดกองบัญชาการตำรวจนครบาลใช่ไหมครับ แล้วในงานศพราชินีท่านตรัสว่า น้องโบว์เป็นเด็กดีช่วยชาติรักษาสถาบัน แบบนี้มันไม่ชัดหรือครับ แล้วยังมีคลิ้ปที่สนธิ ลิ้มทองกุลพูดเองอีกว่าได้รับของขวัญจากน้องสาวพระราชินี
มีเสียงนายตำรวจที่ทำหน้ามึนตลอดสวนขึ้นมาว่า พูดที่ไหน เมื่อไหร่
ผมตอบไปว่าไม่เคยเห็นคลิปนี้จริงๆหรือครับ เจ้าหน้าที่ที่ดูเป็นมิตรรีบบอกว่า มีครับมี ผมเคยดู
ผมเลยได้ทีพูดต่อ นั่นไงครับ
แล้วไหนจะคดีพันธมิตรที่ยึดทำเนียบยึดสนามบินอีกไม่มีใครกล้าทำอะไร
ตัวหัวหน้ารีบบอกว่า ก็ไม่ให้ DSI ทำนี่ ถ้าให้ DSI ทำป่านนี้เสร็จไปแล้ว

ผมร่ายต่อ คนไทยไม่โง่นะครับ เขาดูออกว่าทำไมมันถึงสองมาตราฐาน ฝ่ายหนึ่งโดนไล่ล่า อีกฝ่ายหนึ่งทำผิดยังไงก็ได้ ไม่มีใครทำอะไร คนไทยรับรู้เรื่องแบบนี้ได้ง่ายครับ เพราะมันอยู่ในชีวิตประจำวัน
แท๊กซี่ขับรถฝ่าไฟแดงตำรวจจับ แต่ถ้ารถเบนซ์ขับฝ่าไฟแดงตำรวจไม่จับ เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะตำรวจกลัวรถเบนซ์ครับ แต่เพราะตำรวจรู้ว่าเบื้องหลังรถเบนซ์นั้นจะมีคนที่เส้นใหญ่อยู่เหมือนกันครับตำรวจไม่จับพันธมิตรเพราะอะไร คนก็รู้ครับ คนรู้ว่าเบื้องหลังพันธมิตรนั้นมีคนสนับสนุนอยู่ และก็ใหญ่พอที่ตำรวจทหารจะไม่กล้าทำอะไร
ผมยกตัวอย่างนี้ไปได้ยังไง ผมยังไม่รู้เลยครับมันออกไปเองโดยอัติโนมัติ
ที่พูดมาอันนั้นมันก็นานแล้ว แล้วตอนนี้ละท่านยุ่งยังไง
ทหารที่ยิงประชาชนตายนี่ทหารหน่วยไหนครับ
ทหารที่ส่งมาอารักขาอภิสิทธิ์นี่ทหารหน่วยไหนครับ

อันนั้นรูปตัดต่อได้ไหม หัวหน้าแย้ง
ไม่น่าครับ ใครจะถ่ายรูปด้านหลังเก็บไว้แล้วเอาไปตัดต่อครับ ฯลฯ
สบายใจไหมได้พูดหมดแล้ว หัวหน้าคนนั้นถามผม
ผมบอกก็ดีครับ เพราะผมก็ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้กับใคร
แต่ยังไงมันก็ผิดกฏหมายนะ คุณรู้ใช่ไหม ยังไงประเทศนึงมันต้องมีสถาบันหลักเป็นหลักของประเทศ

ผมแปลกใจประเทศเราเป็นเมืองพุทธซะเปล่า ปากก็บอกว่าเป็นชาวพุทธ แต่ไม่รู้หลักเหตุและผล พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าทุกข์ให้ดับที่เหตุ คุณไม่อยากให้คนวิจารณ์สถาบันแต่ปล่อยให้สถาบันลงมายุ่งการเมือง ปล่อยให้อีกฝ่ายเอามาอ้างทำลายอีกฝ่าย แล้วคุณมาไล่จับคนวิจารณ์ ผมถามว่ามันจะหมดไหมครับ คุณจะจับหมดไหมครับ
แต่ว่าคุณไปโพสยังงั้นมันก็ผิด คือคุณเข้าใจไหมว่ามันมีกฎหมายอยู่ เอางี้ซิคุณได้พูดแบบนี้แล้วคุณสบายใจ ตอนหลังก็ไม่ต้องไปโพส ก็ไปพูดกับเพื่อนอะไรไป


เพราะผมได้ยินคำพูดนี้มา ไม่ต่ำกว่า 10 รอบ ในวันที่พวกเขามาจับผม เมื่อผมพูดอะไร เขาก็จะอ้างอย่างเดียวว่า “แต่ว่า…ยังไงมันก็ผิดกฏหมาย”
หลังจากสอบสวนเสร็จ เขาก็ปล่อยผมกลับบ้าน บอกว่าให้รอหมายเรียก แล้วก็เดี๋ยวจะโทรบอกให้มาเอาคอมฯคืนไปหลังจากได้ทำการcopy ทุกอย่างจากคอมฯผมและคอมฯน้องสาวไว้หมดแล้ว
หลังจากนั้น อาทิตย์ต่อมาเขาก็เรียกให้ไปเอาคอมฯคืน ต่อมาก็ให้ไปเอาฮาร์ดิสก์คืน รวมทั้งหนังสือท่านปรีดีด้วย
วันที่ผมไปเอาฮาร์ดดิสค์คืน มีเจ้าหน้าที่หนุ่มนายหนึ่งเดินมาส่งผมที่ลิฟท์ ผมบอกว่าดีนะทำงานที่นี้ไม่ต้องใส่ชุดตำรวจ เขาบอกก็ดีครับ แต่งเหมือนพนักงานออฟฟิซ แต่มีปัก DSI
นี่ทำงานแบบนี้ต้องนั่งเฝ้าหน้าคอมฯทั้งวันเลยซิผมถามเขา ผมรู้เพราะวันที่ผมพยายามเข้าเว็บไม่ได้ ก็มีตำรวจนายอื่นแซวเจ้าหน้าที่หนุ่มคนนี้ว่า ให้ไอ้นี่เข้าดิมันนั่งอ่านทั้งวันแหละ เขาตอบครับก็นั่งอ่านเว็บดูทั้งวันแหละครับ

คุณอยู่ในประเทศนี้ คุณพูดความจริงได้ แต่ยังไงมันก็ผิดกฏหมาย ทรงพระเจริญพะย่ะค่ะ
หลังเหตุการณ์ที่ผมโดนจับกุม ผมก็หยุดโพสไปเลย กะว่าจะใช้ชีวิตเงียบๆ แต่เมื่อติดตามข่าวเหล่านี้ บก.ลายจุด ไปผูกผ้าแดงที่ราชประสงค์โดนจับ
นที สิวารี ไปยืนตะโกนที่ราชประสงค์โดนตำรวจนอกเครื่องแบบอุ้มไปขัง
เด็กนักเรียนอายุ 16 ปี ไปยืนถือป้ายต้าน พรก. ที่เชียงราย ตกเย็นตำรวจไปค้นที่บ้าน โดนตำรวจเรียกไปสอบ
ผมคิดว่ามันจะมากไปแล้ว ผมควรจะกลับยืนยันสิทธิของพลเมือง ว่าการเป็นพลเมืองของประเทศนี้ย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก
นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยคนธรรมดาคนหนึ่งด้วยวิธีธรรมดา ซึ่งก็แสดงให้เห็นแล้วว่า แม้แต่วิธีธรรมดาเช่นนี้ในประเทศนี้ ก็ไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจะเป็นปัญหาต่อประเทศที่มีคนมากกว่าหกสิบล้านคนยังไง
บ้านเมืองเข้าสู่ยุคเถื่อน

ผมถูกสัมภาษณ์นับครั้งไม่ถ้วน กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมก็เล่าให้เขาฟังอย่างตรงไปตรงมาไม่มีใส่สีตีไข่ โดยเฉพาะประเด็นที่เขาถามเน้นคือขณะที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าจับกุมผม มีการทรมานผมหรือไม่ รังแกผมหรือไม่ ผมตอบไปตามตรงว่าไม่มีเลย เจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่เข้าจับกุมปฏิบัติต่อผมอย่างดี สั่งอาหารมาให้ผมกินระหว่างสอบสวนด้วย พูดกับผมอย่างดี ที่ผมเล่าไปแบบนี้เพราะผมคิดว่าถึงแม้เจ้าหน้าที่จะเข้าจับกุมผมและผมหลบหนีขณะนี้ มันเหมือนเรากำลังเล่นเกมส์แมวจับหนูกัน
เจ้าหน้าที่มีหน้าที่ไล่จับผม ส่วนผมเป็นมนุษย์ผู้รักเสรีภาพ ผมไม่ยอมให้ตัวเองขาดอิสระภาพ ผมก็ต้องหนี และผมคิดว่าเกมส์ที่เรากำลังเผชิญกันอยู่นี้เป็นแฟร์เกมส์หรือเป็นเรื่องปกติ เจ้าหน้าที่จะเล่นเกมส์ตามกฏกติกาที่มีอยู่ที่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ แบบนี้เจ้าหน้าที่ก็ถือแต้มต่อเหนือกว่าผมมากมาย
แต่ผมไม่คิดเลยว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองถือกฏหมายฉบับที่เอาเปรียบกฏขี่บังคับประชาชนอยู่ในมือแบบมีอำนาจล้นเหลืออยู่แล้ว พวกท่านยังพยายามใช้อำนาจเถื่อนเล่นเกมส์นอกกฏกติกาที่มีมากอยู่แล้วเข้าไปอีก
วันที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอบุกเข้าจับผมเมื่อปีที่แล้ว (2554)พวกเขาพาผมกลับไปบ้าน พวกเขาเข้าค้นบ้านผมทุกซอกทุกมุม ก็ไม่พบสิ่งของผิดกฏหมายอะไร คงพบแต่โน้ตบุ๊คผมและหนังสือมากมายเต็มบ้าน พวกเขายังหยิบหนังสือการเมืองบางเล่มไปเพื่อจะดูว่าผมอ่านอะไรบ้าง และภายหลังพวกเขาก็คืนมาให้ผมอย่างดี
หลังจากนั้น เมื่อผมหลบหนีออกจากประเทศไม่นาน บ้านหลังนี้ที่ผมตั้งใจซื้อเพื่อให้แม่กับน้องผมได้มาอยู่ด้วยก็มีเหตุจำเป็นให้ต้องประกาศขาย เพราะเมื่อผมไม่อยู่ต้องหลบออกจากประเทศ ผมไม่มีงานทำ เงินที่ผ่อนบ้านแต่ละเดือนแม่กับน้องสาวผมไม่อาจรับภาระไหว ผมจึงต้องตัดใจประกาศขาย และเพื่อให้ผู้ที่ต้องการจะซื้อมั่นใจว่าเมื่อซื้อแล้วท่านสามารถเข้าอยู่ได้ทันที ผมจึงต้องให้แม่กับน้องสาวย้ายออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น บ้านหลังนี้ก็ว่างลงเป็นเวลาปีกว่าแล้ว ไม่มีใครอยู่ที่บ้าน ไม่มีสิ่งของหลงเหลือในบ้าน คงมีแค่จักรยานคันโปรดของผมฝากจอดไว้
แต่แล้วจู่ๆไม่กี่วันมานี้ (ปลายปี 2554) เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็เล่นเกมส์เถื่อนกับผม เขาโทรไปหาน้องสาวผมทำทีเป็นขอซื้อบ้าน ถามว่าทำไมถึงขายบ้าน น้องสาวผมก็บอกไปว่าพี่ชายให้ขายเพราะพี่ชายไปอยู่ต่างประเทศ หลังจากนั้นก็มีคนโทรมาอีกครั้งคราวนี้เปิดเผยตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ บอกว่าจะขอเข้าค้นบ้าน มีกุญแจไหม ซึ่งแน่นอนเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นัดล่วงหน้า น้องสาวผมก็อยู่ไกลและไม่ได้เตรียมกุญแจมาจึงบอกไปตามนั้น แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับบอกว่าตอนนี้อยู่หน้าบ้านแล้ว จะขอเข้าค้นเลย มีหมายค้นด้วย น้องสาวผมก็เลยงงว่าจะค้นหาอะไรเพราะบ้านไม่มีใครอยู่มาเป็นปีแล้ว และสิ่งที่ตำรวจบอกทำให้ตอนนี้แม่และน้องสาวผมตกใจและหวาดกลัวมาก เพราะตำรวจบอกว่า จะเข้าค้นปืนเถื่อนภายในบ้าน และพวกเขาก็เข้าไปค้นภายในบ้านโดยที่ผมไม่ทราบว่าพวกเขาใช้กุญแจอะไรไขเข้าไป และขณะที่ค้นก็ไม่มีคนที่ผมมอบหมายรับรู้การค้นนั้นด้วย และตอนนี้ผมก็ไม่ทราบว่าเขาบันทึกการตรวจค้นว่าพบอะไรหรือไม่
เหตุการณ์บัดซบที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลสองอย่าง
หนึ่ง การที่ตำรวจยกโขยงกันไปค้นบ้านแบบนี้ แน่นอนเพื่อนบ้านย่อมแตกตื่นและเป็นที่โจษจันกัน เพราะฉะนั้นต่อไปนี้การที่บ้านหลังนี้จะขายได้ย่อมเป็นเรื่องยาก เพราะผมสังเกตุพฤติกรรมคนมาซื้อบ้านก็มักจะไต่ถามความเป็นไปของบ้านจากเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ชิดกัน ถ้าคนจะมาซื้อทราบว่าบ้านหลังนี้เห็นตำรวจยกโขยงมาค้นปืนเถื่อนแบบนี้ ท่านว่าจะมีใครอยากซื้อหรือไม่
สอง หลังเหตุการณ์เกิดขึ้นทำให้แม่และน้องสาวผมหวาดกลัวและกดดันมาก จริงๆมันมีเรื่องราวเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่ผมไม่เคยเล่าคือ เมื่อผมโพสเรื่องราวที่ผมโดนจับครั้งแรกนั้น แม่ผมกับน้องก็โดนเรียกไปสอบ ทำให้ครั้งนี้ พวกเขาถึงขนาดเอ่ยปากฝากมาว่าให้ผมเลิกโพสอะไรเสียทีเถอะ เพราะคนที่อยู่ในประเทศเดือดร้อน นี่มันก็เหมือนเจ้าหน้าที่ทำอะไรผมไม่ได้ก็เที่ยวไปกดดันคนที่ผมรักแทน เพื่อจะให้ผมหยุดต่อสู้
ผมอยากฝากบอกไปถึงเจ้าหน้าที่บ้านเมืองทั้งหลายไม่ว่าหน่วยไหนก็ตาม ผมเป็นประชาชนธรรมดาครับ ผมไม่เคยมีอาวุธใดๆในบ้าน ไม่ว่าอาวุธถูกกฎหมายหรืออาวุธเถื่อน อย่าใส่ร้ายป้ายสีผม
แต่ถ้าผมจะมีอาวุธอะไรที่จะใช้ต่อสู้เพื่อให้ประเทศที่ผมรักมีความยุติธรรมกลับคืนมา เพื่อให้ประชาชนที่รักเสรีภาพอยู่กันอย่างไม่ต้องหวาดกลัวกฏหมายและอำนาจที่ไม่เป็นธรรม ผมก็จะบอกว่าผมมีแค่กล้องถ่ายรูป มีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค และอาวุธอีกอันที่สำคัญที่ผมมีซึ่งท่านควรจะกลัวมากกว่าอาวุธปืนที่พวกท่านเสแสร้งปั้นแต่งขึ้นเพื่อป้ายสีผม นั่นคือหัวใจของผมครับ
ในชีวิตผม ก็เคยได้ยินเรื่องราวแบบนี้มาบ่อยครั้ง เรื่องการยัดข้อหาให้กับประชาชนผู้บริสุทธ์ แต่ผมไม่คิดว่าผมจะเจอเข้ากับตัวเอง ผมไม่ทราบว่าที่พวกท่านกระทำลงไปมีเหตุผลอะไร
ผมไม่รู้ว่าพวกท่านพยายามปั้นแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม พวกท่านคงพยายามจะสร้างภาพว่าประชาชนในประเทศนี้ที่ลุกขึ้นเรียกร้องความเป็นธรรมเป็นพวกก่อการร้าย เหมือนๆกับที่ท่านพยายามจะใส่ร้ายป้ายสีประชาชนมาตลอด เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องจริงว่าที่ประชาชนลุกขึ้นมาสู้นั้นเพราะอะไร
แต่พวกท่านคงได้แต่มองประชาชนอย่างผิวเผิน คิดเอาเองว่าต้องมีปืนเท่านั้นประชาชนจึงจะกล้าลุกขึ้นสู้ แต่ผมอยากให้พวกท่านลองมองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ ดูเถิดครับ ว่ามีประชาชนมือเปล่าหรืออย่างเก่งก็แต่มีหนังสติกวิ่งเข้าสู้ทหารที่มีอาวุธปืนเต็มอัตราศึกอย่างไร พวกเขาไม่มีอาวุธเทียบเท่าพวกท่าน แต่อย่างหนึ่งที่ประชาชนผู้ลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมมีเหนือกว่าพวกท่าน คือหัวใจครับ
และถ้าท่านจะใช้กฏหมายวิธีการพิสดารพันลึกเข้าเหยียบย่ำบีบบังคับหัวใจคนเหล่านี้ ผมขอบอกว่า นอกจากจะไม่ทำให้พวกเขาสยบยอมแล้ว พวกเขาจะลุกขึ้นสู้และตะโกนบอกพวกท่านว่า กูไม่กลัวมึงครับ แม้พวกเขาจะไม่มีอาวุธอยู่ในมือก็ตาม
สุดท้ายนี้ผมรับประกันแบบมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งได้เลยครับว่า แม้ว่าพวกท่านจะพยายามใช้วิธีเถื่อนใส่ร้ายป้ายสีผมอย่างไร ผมก็จะสู้กับพวกท่านอย่างแฟร์เกมส์ครับ ผมจะไม่ใช้วิธีเถื่อนอย่างที่พวกท่านทำกับผมแน่นอนครับ ผมขอเอาเกียรติของประชาชนธรรมดานี่แหละครับยืนยัน
เพราะผมเชื่อว่าเมื่อวันหนึ่งประเทศเขาสู่ความปกติและมีเสรีภาพ เมื่อนั้นประวัติศาสตร์จะบันทึกไว้เองครับว่า ในวันที่บ้านเมืองเข้าสู่ยุคเถื่อน ใครหน่วยงานไหนทำอะไรไว้บ้าง
ปรวยหัวเข็ม salty head
16 ธันวาคม 2554
ก้านธูป
![]() |
![]() |
เธอจึงตกเป็นเหยื่อของขบวนการล่าแม่มด เมื่อสื่อในเครือผู้จัดการได้โจมตีก้านธูปอย่างหนักว่า เป็นพวกไม่รักในหลวงโดยโยงว่าเธอเคยขึ้นเวทีเสื้อแดงในนามตัวแทนเยาวชน ทั้งๆที่มีเยาวชนหลายคนขึ้นเวทีฝ่ายพันธมิตรเช่นเดียวกัน ในการโจมตีก้านธูป มีการใช้เรื่องโกหกว่า เธอถูกไล่ออกจากโรงเรียนที่บ้านโป่งเพราะหมิ่นในหลวง และเมื่ออยู่โรงเรียนใหม่ ก็ถูกตักเตือนเสมอเรื่องไม่รักในหลวง การใส่ร้ายเช่นนี้ของสื่อในเครือผู้จัดการ ได้รับการขานรับจากเว็บไซด์ และสื่อฝ่ายคลั่งเจ้าทั้งหมด




โอเคเนชั่น ยังสร้างข่าวเท็จว่า ญาติผู้พี่ของก้านธูปที่เรียนคณะวิศวะเกษตร รับงานเป็นหญิงบริการ โจมตีว่า พ่อแม่ของก้านธูปเป็นคนเสื้อแดง ที่ล้างสมองให้ก้านธูปไม่รักในหลวง ทั้งๆที่พ่อแม่ของเธอไม่เคยเป็นคนเสื้อแดง และยังโจมตีก้านธูปว่า เป็นต้นไม้พิษ แล้วตั้งคำถามต่อธรรมศาสตร์ ถึงความชอบธรรมที่รับก้านธูปเข้าศึกษา

![]() |

ปลายปี 2554 ก้านธูป นักศึกษาปี 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับหมายเรียกจาก สน.บางเขน ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 จากกรณีโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัวเมื่อกลางปี 2553 โดยนัดหมายรายงานตัวในวันที่ 11 ม.ค.2555 ทั้งๆที่เรื่องมันผ่านไปปีกว่า และเธอก็โดนเล่นงาน จนเสียเวลาเรียนไป 1 ปี เต็มๆ แล้ว แต่พวกคลั่งเจ้าโกรธมากเมื่อรู้ว่าก้านธูปได้เป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ จึงตามจองล้างจองผลาญเธอให้ถึงที่สุด ก่อนหน้านี้พนักงานสอบสวน สน.บางเขน มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องก้านธูป เนื่องจากพบว่ากระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ก็ไม่ได้ยืนยันว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้โพสต์ข้อความ สอบพยานหลักฐานแล้วพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นคนโพสต์ข้อความดังกล่าว และช่วงเวลาที่มีการกระทำความผิด ผู้ถูกกล่าวหาเป็นเยาวชนไม่น่าจะมีความคิดเห็นที่รุนแรงทางการเมือง พนักงานสอบสวนจึงสันนิษฐานว่ามีผู้อื่นไปโพสต์ข้อความแทนโดยใช้ชื่อก้านธูป
สำนวนคดีดังกล่าว พนักงานสอบสวนได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องมา 2 เดือนกว่าแล้ว และทำเรื่องเสนอความเห็นเสนอไม่ฟ้องไปยังกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 (บก.น.2) แต่มีรองผบก.น.2 ได้มีความเห็น ให้สอบก้านธูปเพิ่มเติม พนักงานสอบสวนจึงจำเป็นจะต้องออกหมายเรียกก้านธูป มาสอบเพิ่มเติมในวันที่ 11 ม.ค.55 แต่ขึ้นอยู่กับก้านธูป จะแจ้งขอเลื่อน หากมีเหตุจำเป็น ก็เลื่อนไปก่อนก็ได้ ซึ่งก็มีการเลื่อนไปเป็นวันที่ 11 ก.พ.2555
![]() |
ทุกวันนี้ เธอยังทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยเหมือนที่นักศึกษาทั่วไปทำตามปกติ เป็นกลุ่มอิสระที่ทำงานร่วมกับทุกกลุ่มได้ และทำงานร่วมกับกลุ่มนอกมหาวิทยาลัยได้ด้วยซ้ำ บางกิจกรรมก็ไม่เกี่ยวกับการเมืองเลย เกี่ยวกับต่อต้านการรับน้องการโซตัส การใช้ความรุนแรงต่อเพื่อนมนุษย์ เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย ตอนน้ำท่วมก็พยายามจะไปช่วยให้ได้มากที่สุด แต่มีข้อจำกัดหลายอย่าง เพราะที่บ้านก็เป็นห่วง เธอเคยไปช่วยที่ศูนย์พักพิงที่ธรรมศาสตร์ แต่นั่งทำงานอยู่ดีๆ ก็มีคนเอากล้องมาถ่ายรูป เธอก็เลยไปทำที่อื่น เช่นที่ดอนเมืองแทน ครอบครัวก็เตือนและไม่อยากให้ทำกิจกรรมมาก แต่เธอก็อยากจะทำทุกอย่างให้เป็นปกติ ไม่อยากให้มันมีอิทธิพลกับชีวิตมากนัก เพราะไม่ว่ายังไง ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ส่วนคดีก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ที่บ้านก็ไม่ได้เป็นเสื้อแดง เขาก็ห้าม ก็เตือน พยายามจะดึงกลับไป เธอก็เข้าใจดีว่าที่บ้านเป็นห่วง ถึงพยายามจะห้าม แต่เธอก็ทนไม่ได้กับความไม่เป็นธรรมในสังคมนี้ คือไม่ว่าจะเป็นใครก็คงทนไม่ได้เหมือนกัน
![]() |
เธอก็มาทำกิจกรรม โดยไม่ให้มีผลกระทบ และก็พยายามไม่ออกหน้ามาก พยายามจะไม่ให้มีชื่อเข้าไปในกิจกรรม แต่ก็ยังทำอยู่ตามปกติ เธอเชื่อว่าสังคมไทยก็กำลังเปลี่ยนแปลง อยากให้เปิดกว้างกว่านี้ ยอมรับกันมากขึ้น เรียนรู้กันมากขึ้น ข้อกล่าวหาหมิ่นตามมาตรา 112 ใช้กันได้ง่ายมาก เดี๋ยวก็มีคนอื่นโดน แล้วมันก็กำลังมีอยู่เรื่อยๆ อาจารย์ที่ปรึกษาที่คณะ ก็โทรมาสอบถามด้วยความเป็นห่วง อาจารย์บอกว่า ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของมัน เรื่องความปลอดภัยอาจารย์ก็ช่วยดูแลให้
นอกจากการคุกคามในโลกอินเตอร์เนตแล้ว ในชีวิตจริง มีการคุกคามบ้าง อย่างปี 2554 มีคนตามไปบ้านที่จังหวัดเดิม ไปสอบถามแถวบ้านว่ารู้จักหรือเปล่า โดยอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่บ้าง เป็นคนทั่วไปบ้าง
ฝ่ายที่ให้กำลังใจ เขาบอกว่าเป็นกำลังใจให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เธอยืนอยู่ได้ คือกำลังใจจากเพื่อนๆ กำลังใจจากอาจารย์ที่รัก เธอรู้สึกว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดกว้างที่สุด ในบรรดามหาวิทยาลัยที่เธอเคยสอบได้มา เธอรู้สึกประทับใจตรงนี้มาก
No comments:
Post a Comment