112 สยองพระเกียรติ
ตอนที่ 9 : ประชาชนเป็นแค่ฝุ่นใต้เท้า
คดีนี้ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนจำนวนมาก รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ และสถานทูตต่างๆ โดยครั้งนี้มีตัวแทนจากสถานทูตหลายแห่ง เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฟินแลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน ออสเตรเลีย รวมถึงตัวแทนจากสหภาพยุโรปและองค์การสหประชาชาติด้วย ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ศาลได้ประกาศให้สื่อมวลชนสามารถรับคำพิพากษาย่อได้ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์

ศาลได้กล่าวถึงข้อต่อสู้สำคัญของจำเลยที่ว่าพ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550 ไม่ได้กำหนดให้บรรณาธิการต้องรับผิดชอบกับบทความที่ผู้อื่นเขียนนั้น ย่อมหมายความว่า จำเลยพ้นจากความผิดตาม พ.ร.บ.การพิมพ์เท่านั้น แต่ความผิดตามมาตรา 112 ไม่ได้ถูกยกเลิกไปด้วย
ข้อต่อสู้ที่ว่าจำเลยไม่ใช่ผู้เขียนนั้น ศาลระบุว่าไม่รับวินิจฉัยเพราะโจทก์ฟ้องว่าจำเลยหมิ่นสถาบันกษัตริย์ด้วยการจัดพิมพ์ จัดจำหน่ายและเผยแพร่นิตยสารเสียงทักษิณ ข้อต่อสู้ของจำเลยว่าไม่ได้เขียนจึงไม่ใช่การกระทำที่ถูกฟ้องส่วนข้อต่อสู้ว่าจำเลยเป็นเพียงลูกจ้างของนิตยสารฉบบนี้ก็ไม่มีน้ำหนักให้วินิจฉัย เพราะพยานโจทก์ 4 ปากซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของนิตยสารเสียงทักษิณเบิกความสอดคล้องกันว่าจำเลยเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการพิจารณาตีพิมพ์บทความต่างๆในนิตยสารแต่เพียงผู้เดียว และทั้งหมดไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลย






คำพิพากษา (ย่อ)
คดีหมายเลขดำที่ อ.1962/2554
ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์
นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข จำเลย
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่15กุมภาพันธ์2553 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 15มีนาคม 2553 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยหมิ่นประมาท ดูหมิ่นและแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิ พลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย ด้วยการจัดพิมพ์ จัดจำหน่ายและเผยแพร่นิตยสารเสียงทักษิณ ( Voice of Taksin ) ปีที่ 1 ฉบับที่ 15 ปักษ์หลังกุมภาพันธ์ 2553 บทความคมความคิด ของผู้ใช้นามปากกา จิตร พลจันทร์ เรื่องแผนนองเลือด กับยิงข้ามรุ่น หน้าที่ 45-47
โดยเนื้อหาของบทความสื่อให้เข้าใจว่าพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดชทรงเป็นผู้ออกคำสั่งให้สังหารประชาชนจำนวนมากในเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม 2519และทรงเป็นผู้วางแผนตระเตรียมสร้างสถานการณ์เพื่อสังหารประชาชนจำนวนมาก อย่างโหดเหี้ยมรุนแรงภายหลังวันพิพากษายึดทรัพย์ของพลตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ซึ่งไม่มีมูลความจริง อันเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช และเมื่อระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2553 เวลากลางวันถึงวันที่ 15 มีนาคม 2553 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน
จำเลยกระทำการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย ด้วยการดำเนินการจัดพิมพ์ จัดจำหน่วยและเผยแพร่ต่อประชาชน ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ทั่วราชอาณาจักรไทย ซึ่งนิตยสารเสียงทักษิณ ( Voice of Taksin ) ปีที่ 1 ฉบับที่ 16 ปักษ์แรก มีนาคม 2553บทความคมความคิด ของ ผู้ใช้นามปากกาว่า จิตร พลจันทร์ เรื่อง 6 ตุลาคม 2553 หน้าที่ 45 - 47
โดยเนื้อหาของบทความดังกล่าว สื่อให้เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพฤติการณ์ที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มีความขัดแย้งและเกิดการนองเลือดขึ้นในประเทศไทยจำนวนหลายชุด และยังทรงเป็นผู้วางแผนในการทำลายฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งไม่มีมูลความจริงและเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 , 91 , 112 และขอให้นำโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ. 1078 / 2552ของศาลอาญามาบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทยด้วยการจัดพิมพ์ จัดจำหน่ายและเผยแพร่นิตยสารเสียงทักษิณ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่จำเลยต่อสู้ว่า พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 ได้มีบทบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484จำเลยย่อมพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง นั้น ย่อมหมายความว่าจำเลยพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 เท่านั้น
ส่วนการกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามฟ้อง ไม่ได้ถูกยกเลิก โดยผลของกฎหมายดังกล่าวด้วย ที่จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่ใช่ผู้เขียนบทความที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้นั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องจำเลยว่า จำเลยหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ด้วยการจัดพิมพ์ จัดจำหน่ายและเผยแพร่นิตยสารเสียงทักษิณ ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงไม่ใช่การกระทำที่ถูกฟ้อง และไม่ใช่ประเด็นแห่งคดีที่ศาลจะรับวินิจฉัย จึงไม่รับวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา15 ส่วนประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่นั้น เห็นว่าบทความคมความคิด ในนิตยสารเสียงทักษิณทั้งสองฉบับ มีเนื้อหาที่ไม่ได้กล่าวถึงชื่อบุคคล
แต่เขียนโดยมีเจตนาเชื่อมโยงเหตุการณ์ในอดีต เมื่อนำเหตุการณ์ในอดีตมาเชื่อมโยงแล้วสามารถระบุได้ว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื้อหาของบทความเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ การที่จำเลยนำบทความไปจัดพิมพ์ จัดจำหน่าย และเผยแพร่ จึงมีเจตนาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ และเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เมื่อมีการจัดพิมพ์นิตยสาร 2 ฉบับ ต่างกรรมต่างวาระกัน จึงเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน จำนวน 2 กรรม
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ให้จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมสองกระทงแล้ว จำคุก 10 ปี บวกโทษจำคุก 1 ปีในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1078/2552 ของศาลอาญา รวมเป็นจำคุก 11 ปี
บทความที่ศาลเห็นว่าหมิ่นกษัตริย์ภูมิพลอย่างร้ายแรง
บทความแรก เรื่องแผนนองเลือด
โดย จิตร พลจันทร์
จากคอลัมน์ คมความคิด จิตร พลจันทร์ นิตยสาร Voice of Taksin ฉบับที่ 15
โอ๊ย... เกิดมาเป็นคนไทยอย่างจิตร ใครมันจะนึกว่าวันอย่างนี้จะมาถึง เกิดมาก็นึกว่าคนบางคนเค้าใจดีมีเมตตา เขารักประชาชนพลเมือง ที่ไหนได้ล่ะ วันนี้เขาเคาะเปรี้ยงลงมาแล้วว่าให้เตรียมเชือดคนเป็นแสนๆ ได้เลย เขาจะหานักฆ่ามืออาชีพจากเมืองนอกเมืองนามาช่วย เขาบอกซะด้วยว่าคนพวกนี้มันรักทักษิณ บางคนไม่ได้รักทักษิณมากมันก็รักประชาธิปไตยมาก เอามันไว้ไม่ได้ จะฆ่ากันเป็นล้านศพก็ไม่ว่า ขอให้ครอบครัวกู รอดก่อน
ฝ่ายอำมาตย์ มันก็ไม่ได้เลวไปซะทุกคนหรอกท่าน บางคนรู้ข่าวก็ใจเต้นโครมคราม เผ่นแน่บมาเล่าให้จิตรฟัง เพื่อให้จิตรส่งข่าวต่อไปยังพระเดชพระคุณตัวจริงคือมวลมหาประชาชน
คนหนึ่งเล่าไปน้ำตาไหลไปว่า มันเลวอะไรหยั่งงี้ เมื่อก่อนหลงเชื่อว่ามันรักประชาชน ยุให้พวกโจรห้าร้อยเข้ามาโค่นทำลายประชาธิปไตยก็เพราะทักษิณไม่ดี แต่ตอนหลังรู้ว่าทักษิณเขาดีและเขาไม่ผิด แทนที่จะหยุดยั้ง แกกลับสั่งฆ่าหนักกว่าเก่า ก็เลยรู้เช่นเห็นชาติว่า โคตรตระกูลนี้มันก็เหมียนกันทั้งนั้น ต้นตระกูลก็เป็นลูกน้องเขา เขาเอามาชุบเลี้ยงจนเป็นใหญ่เป็นโต ( เหมือนทักษิณเลี้ยงเนวิน สุรเกียรติ์ วิษณุ บวรศักดิ์ อนุทิน และนายเหนือหัวของคนพวกนี้ )
พอได้ทีก็โค่นนายตัวเอง จับนายไปจองจำ ซัดว่าสติไม่ดี ดูแลบ้านเมืองไม่ได้ แล้วก็จับลงถุงแดง ฆ่าทิ้งอย่างทารุณ โคตรตระกูลไหนที่มือเปื้อนเลือดขนาดนั้นจะให้มันจบดีกระไรได้ แต่จิตรก็ไม่นึกว่าเรื่องมันตั้งสองร้อยกว่าปีแล้ว กรรมจะมาสนองกรรมเอาในตอนนี้
ความจริงการฆ่าหมู่หรือฆ่าเดี่ยวนั้น คนแก่โรคจิตบางคนมันคิดของมันมานานแล้วล่ะท่าน จิตรเคยรู้มาไม่กี่เรื่อง พอมาได้ยินจากคุณข้างใน ผู้มีใจเป็นธรรมเข้า เลยต่อเรื่องได้ทะลุปรุโปร่งทีเดียว ขนาดลำดับแผนฆ่า ได้เลยล่ะท่าน
- ใช้พวกมาเฟียชั้นต่ำ ระดับสัมภเวสี ฆ่าคุณทักษิณแทนให้ เรื่องก็ออกมาเป็นการระเบิดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของการบินไทยที่คุณทักษิณจะนั่งไปเชียงใหม่ในปีแรกที่เป็นนายก
- ใช้คนไร้อนาคต หมดความหวังในชีวิตอย่างสนธิ ลิ้มทองกุลมาก่อหวอตทำลายชื่อเสียงคุณทักษิณให้สิ้นก่อนต่อไปก็ลงมือฆ่าง่าย ป้ายสีเขาว่าเป็นคนไม่ดี กะว่าเขาหมดชื่อเสียงแล้วตัวก็สบายตายไปคนก็ไม่สนใจ เหมือนที่ทำกับอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครูบาศรีวิชัย ดร.บุญสนอง บุญโยทยาน พระพิมลธรรม เป็นต้น นั่นแล
- ใช้ทหาร ตำรวจ มือปืนรับจ้างระดับมืออาชีพ มาลงมือ ทหารก็ต้องหมวกแดงป่าหวายโน่น อย่างไอ้คนที่เตรียมยิงจากต้นไม้ที่ลพบุรี แต่นายกเปลี่ยนแผนขึ้นเหนือนั่นแหละ ตำรวจก็ไปขุดเอาจากขุมนรก ก็พวกประวัติเลวๆ ที่วิ่งมากราบตีนขอให้ช่วยชีวิตอย่างสมคิด บุญถนอม เป็นต้น มือปืนก็เลือกพวกที่ กอ.รม.นวย สั่งได้มาใช้งาน กลายเป็นการเตรียมฆ่าผู้นำของระบอบประชาธิปไตยถึง 8 ครั้ง 8หน
รวมทั้งแผนระเบิดรถยนต์ที่บางพลัดที่ไอ้พวกสื่อมวลสัตว์บางตัวอย่างเนชั่วมันเอามาโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นเรื่องตลกหรือคาร์บ๊อง เพื่อให้คนทั่วโลกเขาไม่สนใจนั่นแหละ พวกนี้เลวถึงขนาดจะให้ยิงจรวดใส่บ้านที่ถนนจรัญสนิทวงศ์ของคุณทักษิณ และครอบครัว ก็ไม่ใช่ใครหรอก ไอ้ เขายายเที่ยง นั่นล่ะท่านที่เป็นตัวการคิดอะไรนรกๆ แบบนี้ เดชะบุญที่นายทหารใหญ่คนที่ต่อมาได้เป็นพลเอกและย้ายมาอยู่ฝั่งประชาธิปไตย เขาเซย์โน บอกว่าจะฆ่าใครก็เอาเฉพาะตัวเขา ฆ่าลูกฆ่าเมียเขาด้วยมันผิดหลักการ
- ใช้ทหาร ตำรวจ และพวกเศษมนุษย์ที่เลียตีนรับใช้กันอยู่เดินทางไปต่างประเทศ เก็บข้อมูลว่าคุณทักษิณอยู่ไหนอย่างไร เตรียมลอบสังหาร ที่อังกฤษก็ทำ ขนาดมาถึงกัมพูชาแล้วก็ยังทำ โชคดีว่าประเทศแถบนี้เขาไม่เล่นเกมโสโครกด้วย เวียดนามก็เป็นเจ้าภาพจับตัวเอาไว้ได้ 3 คน ไม่นานนี้เอง ตอนนี้ได้ข่าวว่าหัวหายไปแล้ว
นี่ล่ะท่านคือผลงานนองเลือดของไอ้พวก เหี้ยม ม. หาย ความเป็นคนมันไม่มีเหลืออยู่กับตัวแล้ว ไม่ว่าจะไอ้แก่มากหรือไอ้แก่น้อย อยู่บ้านคงลงเดินสี่ตีน เพราะคุณธรรมมันไม่มีเหลือหลอ
แต่แผนการอุบาทว์ชาติชั่วที่เล่ามา ยังไม่เท่าความมืดดำของแผนใหม่ที่เพิ่งเคาะกันลงมาจากตึกสูงๆ ของโรงพยาบาลมีชื่อแห่งหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งจิตรต้องเล่าให้ท่านฟัง จะได้รู้ว่าเมืองพุทธของเรา เดี๋ยวนี้มันได้กลายเป็นระบอบสัตวาธิปไตย คือได้ฝูงสัตว์มาปกครองแทนคนอย่างไร
ในวันตัดสินคดีทรัพย์สินของนายก ทักษิณและครอบครัว หรือคดี76,000ล้านนั่นแหละ ฝ่ายชั่วมันเตรียมจะยึดทรัพย์ให้หมดเกลี้ยง เพราะมันกลัวนายกทักษิณจะเหลือทุนมาทำงานการเมือง แล้วคิดโค่นทำลายรังของพวกมัน มันก็เลยโหมโรงโฆษณาว่าเงินนั้นมาจากไหนยังไง หวังให้คนเขาเคลิบเคลิ้มเห็นดีด้วยกับการยึดทรัพย์ แต่มันก็รู้ว่ากระแสเสื้อแดงที่เร่าร้อนรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์นั้น ดับไม่ไหว มวลมหาประชาชนเหล่านี้เขาไม่ได้ห่วงเงินของคุณทักษิณ แต่เขาไม่ยอมนั่งเฉยให้ไอ้พวกโจรมหาโจรมันเข้าปล้นครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ต้องออกมาแสดงพลังต่อต้าน
ตรงนี้ล่ะท่านที่รักทั้งหลาย ปีศาจตัวใหญ่ที่ใครก็มองไม่ออก เพราะเป็นประเภท ตีนที่มองไม่เห็น ก็ออกโรงมาอีกคราหนึ่ง เหมือนเมื่อคราวเหตุการณ์ฆ่านักศึกษาและประชาชนในวันที่ 6 ตุลาคม2519 ไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่องคุลีเดียว
ปีศาจชราตนนี้มันสั่งว่า เมื่อประกาศยึดทรัพย์แล้ว มวลชนเตรียมออกมากันแล้ว ก็ให้ออกมากันให้เต็มที่ก่อน จากนั้นจะส่งทีมนรกเข้าไปประชิดตัวผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ทีละคน แล้วยิงทิ้งเลย สร้างภาพเสมือนว่าฝ่ายนายกทักษิณและเสื้อแดงเป็นคนลงมือทำ โดยเฉพาะคำพูดของ เสธ.แดง ที่เตือนให้ระวังการสังหารผู้พิพากษามาก่อนนี้ มันก็จะเอามาอ้าง จากนั้นมันก็จะโหมข่าวไปทั่วประเทศและทั่วโลกว่าฝ่ายทักษิณเป็นคนสั่งฆ่าผู้ พิพากษา
และแล้ว มันก็จะลงมือปราบปรามมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงชนิดเลือดท่วมท้องช้าง
ฝ่ายอำมาตย์บางคนมันไปติดต่อกับประเทศมหาอำนาจลูกพี่มันไว้แล้วด้วย ขอความช่วยเหลือในการปราบปรามประชาชน ไอ้ฝ่ายโน้นก็พูดไม่ออก ดันทำตัวเป็นลูกพี่เขามาตั้งแต่สงครามเย็นโน่น จะทำดัดจริตย้ายมาข้างประชาธิปไตยก็ไม่ทัน ก็เลยเตรียมช่วยเหลือเชิงกำลังพลบางส่วน อุปกรณ์เครื่องมือบางอย่าง และข่าวกรอง ละเอียดลงไปถึงขั้นว่าทหารที่มาฝึกซ้อมรบอยู่ในเมืองไทยช่วงนี้ถึงเวลาก็ยังไม่ให้กลับ ให้ซุ่มรอเวลาอยู่อีกอย่างน้อยสามเดือนเผื่อจะต้องรบจริง
เห็น ไหมล่ะท่าน พวกมันเตรียมการกันถึงขนาดนี้ จิตรเป็นคนชอบพูดทีเล่นทีจริง งานนี้ยังต้องพูดด้วยเสียงดังฟังชัดว่าเมื่อพวกมันมองเห็นประชาชนเป็นผัก เป็นปลา คิดจะฆ่าจะแกงกันขนาดนี้แล้ว ประชาชนเราจะนั่งรอให้มันฆ่าก็กระไรอยู่
ก็ต้องเอามันมั่งนะพระคุณท่าน!บทความที่สอง
เรื่อง 6 ตุลา แห่ง พ.ศ. 2553
จากคอลัมน์ คมความคิด โดยจิตร พลจันทร์
นิตยสาร Voice of Taksin ฉบับที่ 16
จิตร งัดแผนนองเลือด มาแฉคราวก่อน ก็เพื่อให้พี่น้องผองเพื่อนได้เตรียมตัวเตรียมใจ มัวแต่หลอกคนดูว่าเขาสู้กับตาเปรม ตาสุรยุทธ์ ตาปีย์ ตาประยุทธ์ หรือพวกลูกตะขบนี้อยู่ จะพามวลชนไปซวยเสียเปล่าๆ คู่ต่อสู้ตลอดมาและคู่ต่อสู้ในบัดนี้ของชาวประชาธิปไตย ไม่ได้เปี๊ยนไป๋แต่ประการใดเลย ยังเป็นหลวงนฤบาล แห่งโรงแรมผี ตนเดิมนั่นแหละเจ้า ผีตัวนี้มันร้ายนัก สิงสู่เมืองไทยหยั่งกะลิงจับหลัก ไม่ยอมไปผุดไปเกิดเสียที ขนาดนรกรอรับอยู่ไม่ต่ำกว่าสามขุม คือขุมฆาตกรรม ขุมสูบเลือดประเทศ และขุมโกหกพกลมว่าเป็นคนดีแสนดี ก็ยังด้านเล่นยี่เกอยู่นั่นแล้ว ถึงคนดูถอดเกือกขว้างกบาลก็ยังไม่พอ ต้องช่วยกันรื้อเวทีไล่แล้วเอาน้ำร้อนราดตามนั่นแหละ
แฉแล้วจิตรก็นึกขึ้นได้ว่า คนรุ่นหลังๆ ที่ไม่รู้แผนนองเลือดฉบับปีพุทธศักราช 2519 คงจะมีอีกแยะ นั่นเป็นหนึ่งในสูตรสำเร็จของแผนนองเลือดเลยนะจะบอกให้ เหตุการณ์ไทยฆ่าไทยด้วยกันอย่างทารุณครั้งนั้น ที่เรียกว่าเหตุการณ์ 6 ตุลาเหมือนเป็นแบบฝึกหัดของหลวงนฤบาล ว่าถ้าจะลงมือฆ่าคนจำนวนมากๆ และฆ่ากลางเมืองชนิดไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนกันอีกแล้วนั้น ต้องทำจะได๋ จิตรว่าคนที่ร่วมเหตุการณ์หรือคนที่มาตามอ่านตามค้นทีหลัง จะรู้ทันทีว่าปีศาจ ตนนี้มันชอบนองเลือดนัก
ถ้าเข้าใจว่าเหตุการณ์เมื่อสามทศวรรษที่แล้วเกิดเพราะอะไร เกิดอย่างไร และจบด้วยอะไร จะรู้เลยว่าอำมาตย์ในวันนี้คิดอะไรอยู่ในใจ
จิตรออกตัวซะก่อนว่า คนที่รู้ดีกว่าจิตรมีอีกเป็นพะเรอเกวียน ตรงไหนผิดพลาดตกหล่น ก็อย่าชี้อยู่ห่างๆเลย บอกกล่าวเล่าสิบกันมั่งเถิดนะเจ้า
ต้องย้อนกลับไป พ.ศ. 2501โน่น ตอนนั้น หลวงนฤบาลแกไปสอพลอทหารใหญ่ที่ลุ่มหลงในแนวความคิด เรื่องที่สูงที่ต่ำ คือสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ให้กลืนน้ำลายตัวเองด้วยการโค่นนายเลิฟที่ตัวไปสบถสาบานว่าจะรักและจงรัก ภักดียิ่งกว่าหมาที่จูงมาให้ในวันเกิด แล้วฟูขึ้นเป็นเผด็จการคับบ้านคับเมือง หลวงนฤบาลแกก็ใช้อำนาจผ่านอีตาจอมพลผ้าขะม้าแดง ใช้อำนาจฆ่าคนหัวเอียงซ้ายที่แกกลัวจะมาโค่นแก แถมมีกฎหมายออกมาตั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนตัวแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2491 แกก็หาเงินเข้าพกเข้าห่อขนาดหนักเพื่อสร้างฐาน ช่วงนั้นเมืองไทยเป็นเผด็จการเสียยิ่งกว่าช่วงไหนๆ ก็เผด็จการทหารกับเผด็จการโบราณมันผสมพันธุ์กันนัวออกหยั่งงั้น
ต่อมาสฤษดิ์ตาย คนที่นายสฤษดิ์ปั้นไว้ก็มานั่งแป้นแทน กลายเป็นระบอบเผด็จการถนอม-ประภาส-ณรงค์ในเวลาต่อมา พอถึง พ.ศ.2516 หลวงนฤบาลแกชักรู้สึกว่าหมารับใช้ฝูงนี้มันชักจะมากเรื่อง ที่สำคัญคือกร่างเหลือกำลังลาก ขนาดพันเอกณรงค์ กิตติขจรทำท่าจะเทียบรัศมีลูกชายเจ้าปัญหาของคุณหลวงเลยทีเดียวเชียว อีตาประภาสก็โกยเงินโกยทองหยั่งกะคนบ้า หลวงนฤบาลแกก็เลยโค่นซะ โดยหลบอยู่หลังขบวนการที่มีประชาชนลุกฮืออยู่ข้างหน้า เอา คึกฤทธิ์ ปราโมช มาทำประชาสัมพันธ์ออกข่าว ทำจิตวิทยามวลชน
เอา พลเอกกฤษณ์ สีวะรา มาคอยโค่นถนอมจากในกองทัพบก เบ็ดเสร็จแล้วเอาคนของตัวมาเป็นรัฐบาลเสียสองสมัยรวด ก่อนคืนอำนาจให้ประชาชน ชั่วคราว เอาหลวงตาสัญญา ธรรมศักดิ์มาทำให้หุ้นความซื่อสัตย์ มันขึ้นราคาซะหน่อย หลวงตาแกซื่อสัตย์ก็จริง แต่หลวงนฤบาลแกเล่นหลอกหลวงตาอีกต่อหนึ่ง ทีนี้พอรัฐบาลเลือกตั้งเข้ามาสวมแทน คุณหลวงปีศาจก็ทำการกวนแข้งตลอด ไม่ว่าจะรัฐบาลเสนีย์ คึกฤทธิ์ และกลับมาเสนีย์อีกสมัยหนึ่ง
แกกวนไม่หยุด โชคดีที่ไปเจอคนกวนเมืองพอๆกัน คือคึกฤทธิ์ พอคุณหลวงโรคจิตแกสั่งให้ลาออก เพื่อจะเอาคนการเมืองที่แกเตรียมไว้มาเป็นแทน เฒ่าสารพัดพิษ คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ตวัดหางประกาศยุบสภาทันทีทันควัน คุณหลวงแกก็เลยงงไม่เสร็จ
เรียกว่าความรอบจัดของแกยังไม่เท่าพวกนี้ คุณหลวงผีสิงแกก็เลยเล่นเกมใหม่ เป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดเปื้อนเลือดที่แกชอบใจนักหนาและคงขุดซากกลับมาใช้ ใหม่ใน พ.ศ.2553 แกจัดตั้งมวลชนขวาจัดขึ้นมาอย่างเงียบๆ ให้ขึ้นกับแกโดยตรง เครือข่ายลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดง นวพล ผุดขึ้นพร้อมกับคนพันธุ์เดียวกันอย่าง ดร.วัฒนา เขียววิมล พลเอกประพันธ์ กุลพิจิตร พลเอกสำราญ แพทยกุล พลตรีสุตสาย หัสดิน
มีหน่วยงานของพระติดอาวุธอย่างสำนักจิตตภาวันวิทยาลัยของพระเทพกิตติปัญญาคุณ หรือนายกิติศักดิ์ กิตติวุฑโฒ ที่เรียกกันติดปากว่า กิตติวุฑโฒ นั่นด้วย พอจบกระบวนการเตรียมตัวแล้ว แกก็เริ่มแหย่ฝ่ายประชาธิปไตยด้วยการกวักมือเรียก จอมพลประภาส จารุเสถียร กลับมาเมืองไทยแบบลับๆก่อน อยู่บ้านแถวโรงงานยาสูบใกล้ช่อง 7 เพราะตาประภาสแกมีบุญคุณอยู่กับช่อง 7 เอาทหารตำรวจไปล้อมบ้านไว้เต็ม พอทำท่าจะไม่ดี แกก็ให้กลับไปต่างประเทศก่อน
ต่อมาอีกไม่นานก็แหย่ใหม่ คราวนี้เล่นแรงเลยเอาตัวจอมพลถนอมบวชเณรกลับมาอยู่ที่วัดบวรอย่างสง่าผ่าเผย วัดบวรของใครก็รู้อยู่ จิตรคงไม่ต้องสอนหนังสือสังฆราช จะสังฆราชชื่อญานสังวร หรืออะไรก็ช่างเหอะ เรื่องนี้เล่นเอารัฐบาลหม่อมเสนีย์ ปราโมชถึงขั้นเดินไม่เป็น ตอนหลังก็พลาดท่าเสียทีทั้งนอกรัฐบาลและในคณะรัฐมนตรีเอง เพราะพรรคชาติไทยที่ร่วมรัฐบาลเป็นลูกกะเป๋งของหลวงนฤบาลตอนนั้น จนนายกเสนีย์ทำท่าจะสะดุดขาตัวเองหัวฟาดพื้นอยู่แล้ว หลวงนฤบาลแกก็ใช้ฝ่ายขวาของแกเข้าพิฆาตซ้าย ซึ่งความจริงไม่ใช่ซ้ายแต่เป็นชาวประชาธิปไตยทั้งนั้น ที่ลานโพธิ์ ธรรมศาสตร์ เพราะฝ่ายต่อต้านจอมพลถนอมไปรวมอยู่ที่นั่น สังหารโหดลูกหลานร่วมชาติอย่างเลือดเย็นที่สุด จิตรกราบขอร้องให้ทุกคนที่ไม่เคยเห็นไปหาภาพถ่ายสมัยนั้นมาดูด้วยตา จะรู้ว่ามันแผ่นดินธรรม-แผ่นดินทอง หรือ แผ่นดินดำ-แผ่นดินเลือด นอง กันแน่
ในการทำลายฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อยึดอำนาจที่แกนึกว่าเป็นของแกคืนนั้น แกเริ่มใช้สูตรของการยึดอำนาจในระดับสูงสุดที่ตอนหลังแกชำนาญมาก
ขั้นตอน แผน 6 ตุลา ของแกมีดังนี้
1. ตั้งเครือข่ายคนคลั่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ขึ้นมา ให้เงิน ให้อาวุธ และให้กำลังใจ เช่น ธง ผ้าพันคอ พระเครื่อง เป็นต้น
2. ใช้สื่อทำลายภาพฝ่ายตรงข้ามให้เลวระยำ สมัยนั้นบอกว่านักศึกษาเป็นลูกญวนลูกแกว ติดอาวุธจะยึดเมืองไทย รัฐบาลเสนีย์เป็นคอมมิวนิสต์หรือมีคอมมิวนิสต์อยู่ในคณะรัฐมนตรี สมัยนี้ใช้วิธีตอแหลว่าฝ่ายประชาธิปไตยคิดล้มเจ้า จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง คดโกงสารพัด
3. แหย่ให้เกิดสถานการณ์เป็นเงื่อนไขให้ใช้ความรุนแรงได้ ตอนนั้นคือให้ถนอมกับประภาสเข้าเมืองอย่างลับๆ มาเป็นตัวล่อ ตอนนี้ใช้การยึดทรัพย์คุณทักษิณมายั่วอารมณ์คน ถ้าไม่สำเร็จก็คงจะหาอย่างอื่นมายั่วต่อไปตามสูตร
4. ซ่อนตัวให้มิดชิด
5. เตรียมรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีพิเศษ พ.ศ.2519 เตรียมศาสตราจารย์กฎหมายขวาตกขอบชื่อธานินทร์ กรัยวิเชียร เอาไว้ พอเข้ามาได้ก็ประกาศว่าจะพัฒนาประชาธิปไตยยาวนาน 12 ปี โดยให้เป็นเผด็จการในระหว่างที่คอย ตอนนี้คุณหลวงสั่งโปรโมท นายพลากร สุวรรณรัฐ พอขบวนการประชาธิปไตยถูกทำลายจนล้มคว่ำลงแล้ว ก็คงเอาคนใหม่ขึ้นหิ้งแทน
6. เตรียมรัฐธรรมนูญฉบับฟื้นฟูอำนาจตัวเอง ซ่อนอำนาจเผด็จการไว้ให้แนบเนียน พ.ศ. 2519 ก็ยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ที่ถือว่าเป็นประชาธิปไตยมาก แล้วไปงัดฉบับ พ.ศ. 2521 มาใช้ จนเกิดรัฐบาลแบบรัฐบาลเปรมครอบงำเมืองไทยมาอีกเป็นสิบปี
จิตรขอป่าวประกาศว่าเมืองไทยขณะนี้อยู่ที่ ข้อ 3 คือ แหย่ให้เกิดสถานการณ์ เป็นเงื่อนไขให้ใช้ความรุนแรงได้ เจ้าค่าเอ๊ย
เมื่อดูจากบทความของจิตร พลจันทร์ หรือที่เชื่อกันว่าคุณจักรภพ เพ็ญแขเป็นคนเขียน และคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข นำมาลงตีพิมพ์ในหนังสือ Voice Of Thaksin
จะเห็น ได้ว่ามีเนื้อหาส่วนใหญ่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามหนังสือThe King Never Smiles หรือกษัตริย์ไม่เคยยิ้ม ของพอล แฮนลีย์ Paul M. Handley ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเยลที่เก่าแก่กว่าสามร้อยปีของสหรัฐ นายพอลแฮนลีย์ เป็นนักนักสือพิมพ์ที่ได้รวบรวมข้อเท็จจริงเพื่อหาสาเหตุของปัญหาทางการเมืองของไทยจนได้นำมาเชื่อมประติดประต่อให้ผู้คนได้ตระหนักถึงขบวนการสร้างภาพว่ากษัตริย์ภูมิพลไม่ได้ยุ่งการเมือง เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณและทรงงานหนักเพื่อพสกนิกรของพระองค์ ทั้งๆที่กษัตริย์ภูมิพลได้ทรงมีบทบาทสำคัญทางการเมืองไทยมาตลอด ที่จริงพอลแฮนลีย์ก็คงแค่ต้องการศึกษารวบรวมข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคมการเมืองของไทยเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงที่พอลแฮนลีย์รวบรวมได้กลับชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า กษัตริย์ภูมิพลนั่นแหละที่บงการอยู่เบื้องหลังการเมืองไทยมาโดยตลอดอย่างยาวนาน และน่าจะเป็นต้นตอสำคัญของปัญหาทางการเมืองในประเทศไทย
คุณจักรภพ และคุณสมยศ ก็แค่นำข้อเท็จจริงเหมือนอย่างที่คุณพอลแฮนลีย์ได้ศึกษาค้นคว้ามาเผยแพร่ต่อสาธารณะให้คนไทยได้ทราบข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่ง ที่ห้ามพูดกันในสังคมไทยภายใต้การครอบงำของอิทธิพลของเผด็จการโบราณครอบงำอย่างแน่นหนา ที่ยังถือว่ากษัตริย์เป็นทั้งเทพเจ้าและพระพุทธเจ้า ที่ประชาชนทุกคนต้องเคารพสักการะอย่างเดียวเท่านั้น
ทั้งยังถือว่าคนที่พูดความจริง คนที่เอาประวัติศาสตร์ของการรัฐประหารมาเผยแพร่ให้ประชาชนเห็นความเชื่อมโยง จะต้องมีความผิดขั้นร้ายแรง ต้องติดคุกเป็นสิบปี โดยไม่สนใจความรู้สึกของประชาคมโลกในยุคโลกาภิวัตน์แม้แต่น้อย
ทั้งๆที่คุณจักรภพและคุณสมยศได้ทำหน้าที่ของพลเมืองที่ดีในระบอบประชาธิปไตย และสิ่งที่นำเสนอก็เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวพันกับประโยชน์ของประชาชนไทยทุกคน
ในเมื่อประชาชนได้ใช้สิทธิเสรีภาพทำหน้าที่ในฐานะพลเมือง เพื่อปกป้องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทำไมจึงยังต้องมีความผิดหนักหนาสาหัสถึงเพียงนี้
ทำไมจึงมีคนบางคนอยู่เหนือกฎหมาย ทั้งๆที่เป็นบุคคลสาธารณะ ที่ต้องใช้เงินภาษีอากรสนับสนุนเลี้ยงดู ปีละหลายพันล้านหรือนับหมื่นล้านบาท แต่กลับห้ามการตรวจสอบ ห้ามการวิจารณ์ ในทุกกรณี โดยไม่มีการยกเว้น
นี่มิใช่ระบอบเผด็จการผูกขาดดอกหรือ
หรือว่าประชาชนไทยมิใช่พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย
แต่เป็นแค่ไพร่ทาส เป็นฝุ่นใต้เท้า หรือ เป็นแค่เดรัจฉานตามแถลงการณ์ของคณะราษฎร เมื่อ 24 มิถุนายน 2475
บรรยากาศวันพิจารณาคดีคุณสมยศ
มีผู้สังเกตการณ์เข้าฟังพิจารณาคดีมากกว่า150 คน มารอในห้องพิจารณาคดีที่ 704 ของศาลอาญา มากันตั้งแต่เวลานัดหมายคือ 9.00 น. ห้องพิจารณาเป็นห้องขนาดใหญ่ มักใช้ในคดีใหญ่ๆ และมีผู้คนสนใจกันมาก มีม้านั่งไม้สำหรับนั่งฟังการพิจารณาจุคนได้กว่า 100 คน ยังต้องเสริมเก้าอี้เข้าไปอีกหลายสิบตัว แต่หลายคนที่มาทีหลังก็ยังไม่มีที่นั่ง
ผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์คดีนี้จำนวนมากเป็นชาวต่างชาติ ทั้งจากสถานทูตประเทศต่างๆ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน องค์กรด้านแรงงาน รวมทั้งสื่อต่างประเทศ ส่วนคนไทย มีทั้งนักวิชาการ นักกิจกรรม คนเสื้อแดงกลุ่มย่อย รวมทั้งเพื่อนนักศึกษาของไท ลูกชายของสมยศ แต่ที่ขาดหายไปคือสื่อมวลชนไทยกระแสหลัก และคนในวงการสื่อสิ่งพิมพ์หรือการเขียนการอ่าน ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นแห่งคดีนี้พอสมควร แต่กลับไม่อยากเสนอข่าวมาตรา 112 ในทุกกรณี
ก่อนขึ้นสู่ห้องพิจารณา หลายคนลงไปทักทายสมยศในเรือนจำใต้ถุนศาล ซึ่งมีกรงกั้นถึงสองชั้น และพูดคุยกันได้ในระยะไกล สมยศยังคงชูสองนิ้วสู้
ราว 9.30 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เดินประกบสมยศในชุดนักโทษขณะเข้ามาในห้องพิจารณา เพื่อนที่นั่งข้างๆ บอกทักตั้งแต่เขายังไม่เข้าสู่ห้องว่า “เสียงโซ่ คุณสมยศมาแล้ว ”เสียงโซ่ตรวนดังกระทบพื้นขณะที่คุณสมยศเดินผ่านแถวม้านั่งไม้ตรงกลางเข้าไปนั่งบนม้านั่งด้านหน้าสุด ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม หลายคนเข้าไปทักทายพูดคุย
สักพักหนึ่ง เจ้าหน้าที่หญิงของศาลเดินมาแจกเอกสารเขียนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาจีนให้ผู้ สังเกตการณ์ชาวต่างชาติ มีข้อความระบุถึงระเบียบของศาล เช่น ระเบียบการแต่งตัวสุภาพ การให้ปิดโทรศัพท์มือถือ ห้ามนั่งไขว่ห้าง ขณะที่เจ้าหน้าที่ชายในชุดคล้ายทหารสองสามคนเดินดูผู้สังเกตการณ์ในศาล และคอยห้ามการถ่ายรูปในศาล
เมื่อเวลารอคอยในศาลเริ่มนานขึ้น เสียงพูดคุยปรึกษาในศาลก็ยิ่งดังขึ้น หลายคนเริ่มกระสับกระส่าย บางคนเดินไปเดินมา ทักทายผู้คน และพูดกันเล่นๆ ว่าศาลอาจกำลังเขียนคำพิพากษาอยู่ เมื่อใกล้เวลา เจ้าหน้าที่ชายตะโกนแจ้งให้คนอยู่ในความสงบ ศาลใกล้นั่งบังลังก์แล้ว และเอ่ยเตือนว่าเสียงโทรศัพท์ที่ดังถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล หลังจากนั้นต้องรออีกเกือบสิบนาที จนผู้พิพากษาสี่ท่านนั่งบัลลังก์ในเวลาราว 10.35 น. เป็นองค์คณะที่มีการเปลี่ยนแปลงจากช่วงที่มีการสืบพยานในปีที่แล้ว เป็นชายสามคน และหญิงหนึ่งคน
ผู้พิพากษาหนุ่มเริ่มอ่านคำพิพากษาขนาดยาวใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมง ขึ้นต้นว่า ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ... ทนายจำเลยสองท่านและสมยศ ต้องลุกขึ้นยืนฟังตลอดการอ่านคำพิพากษา ขณะที่อัยการฝ่ายโจทก์ไม่ได้มาศาล มีตำรวจไปยืนบริเวณประตูเพื่อป้องกันคนเข้าออกจากห้องขณะอ่านคำพิพากษา
ช่วงแรกศาลใช้เวลาค่อนข้างยาวอ่านคำฟ้อง โดยส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาบทความสองบทความของนิตยสาร Voice of Taksin ที่เป็นเหตุแห่งการฟ้อง ศาลอ่านบทความทั้งสองอย่างติดๆ ขัดๆ และอ่านชื่อคนผิดบางส่วน เช่น ป๋วย อึ้งภากรณ์ หรือ บุญสนอง บุณโยทยาน
ศาลปฏิเสธการนำสืบของจำเลยเรื่องบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบตามพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ 2550 แต่ไปวินิจฉัยว่าจำเลยทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ โดยศาลเห็นด้วยกับการตีความของฝ่ายพยานโจทก์เกือบ 10 ปาก ที่ชี้ว่าบทความนี้เข้าข่ายความผิดมาตรา 112 ศาลอ่านชื่อพยานจำเลยที่นำสืบทั้งหมด แล้วศาลก็สรุปสั้นๆว่าทั้งหมดเบิกความไปในทำนองเดียวกันว่าอ่านแล้วไม่ได้นึกไปถึงพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งศาลสรุปรวดรัดว่าฟังไม่ขึ้น ศาลยังอ้างถึงประวัติศาสตร์ในแบบเรียน และตีความไปถึงเหตุการณ์ตอนตั้งราชวงศ์จักรี
ในช่วงท้ายซึ่งเป็นช่วงของการตีความโดยศาลเอง ได้เปลี่ยนให้ผู้พิพากษาหญิงเป็นผู้อ่าน ผู้คนในห้องพิจารณาบางคนเริ่มถอนหายใจดังเป็นระยะ
คำพิพากษาปิดท้ายด้วยการอ้างถึงระดับการศึกษาของจำเลย อาชีพความเป็นสื่อมวลชน และวิจารณญาณ ที่ควรมีสูงกว่าคนทั่วไป ศาลจึงเห็นไปถึงเจตนาทำผิดของจำเลยและพิพากษาความผิดจำคุกรวมแล้ว 11 ปี
ศาลแจ้งว่าสื่อมวลชนสามารถไปรับคำพิพากษาย่อได้ด้านหลัง ก่อนลงจากบัลลังก์ไป หลายคนเดินเข้าไปหาสมยศและครอบครัว แต่เจ้าหน้าที่เกือบ 10 นายรีบเข้าไปนำตัวสมยศออกจากห้องพิจารณา และไม่ให้พูดคุยกับใคร ก่อนนำตัวลงไปใต้ถุนศาลอย่างรวดเร็ว
ภรรยาของสมยศ และสมาชิกจำนวนหนึ่งจากกลุ่ม 24 มิ.ย. ที่สมยศก่อตั้งขึ้น ยังคงรอคอยจัดทำเอกสารยื่นเรื่องประกันตัว แต่พอลงไปบริเวณเรือนจำใต้ถุนศาลจึงได้ทราบว่าสมยศถูกนำตัวเดินทางกลับเรือนจำไปแล้ว ซึ่งโดยปกติแล้ว ทางราชทัณฑ์จะรอนักโทษทั้งหมดที่มาศาลเสร็จภารกิจพร้อมกัน และนำตัวกลับเรือนจำพร้อมกันในช่วงเย็น ทางภรรยาและคณะจึงจำเป็นต้องเดินทางตามไปให้เขาเซ็นเอกสารเพื่อใช้ในการยื่นประกันตัว
เมื่อได้เข้าเยี่ยมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ สมยศเล่าว่าหลังจากถูกนำตัวลงมาจากห้องพิจารณา ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ส่งตัวเขากลับเรือนจำทันที เขาจึงถูกนำตัวเพียงลำพังดันขึ้นรถที่จอดรออยู่แล้วไปอย่างเร่งรีบ โดยยังไม่ทันได้ใส่รองเท้าที่ติดตัวมาด้วยเลย รถพาขึ้นทางด่วนใช้เวลา 10 กว่านาทีก็เดินทางกลับถึงเรือนจำ
สุกัญญาภรรยาของสมยศทักทายสามีด้วยอารมณ์ขันว่า ทีนี้ก็ต้องไปเอาข้าวของที่แจกให้นักโทษคนอื่นๆไปกลับคืนด้วย เพราะคิดว่าจะได้ออกจากเรือนจำ สมยศยืนยันกับภรรยาว่าต้องสู้กันต่อไป
คุณสมยศเคยขอให้ทางผู้คุมลดขนาดโซ่ตรวนที่จองจำข้อเท้าทั้งสอง แต่ก็ถูกปฎิเสธ โซ่ตรวนของคุณสมยศมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ต่ำกว่าครึ่งนิ้วน้ำหนักน่าจะหลายกิโล การล่ามโซ่ก่อนการตัดสินน่าจะขัดรัฐธรรมนูญไทยมาตรา 39 วรรค 3 ที่บัญญัติว่า ก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด ผู้ที่ยังไม่ถูกตัดสินจะถูกปฎิบัติเป็นเสมือนผู้กระทำผิดมิได้ แต่กรมราชทัณฑ์อ้างว่ามีเจ้าหน้าที่ไม่พอ จึงต้องล่ามโซ่เพื่อป้องกันผู้ต้องหาหลบหนีเวลาขึ้นศาล
คุณสมยศได้โชว์แผลเป็น บนข้อเท้าซ้าย 2 แผลสีดำเป็นวงใหญ่เห็นชัด ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อและเน่าของผิวหนัง แต่ยังดีที่ภรรยาคอยส่งยาให้
แม้คุณสมยศจะถูกจองจำในฐานะบรรณาธิการนิตยสารVoice of Taksinมากว่า 21 เดือนก่อนพิพากษา แต่สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยก็ไม่เคยออกแถลงการณ์อะไรเกี่ยวกับการจองจำ บก.ผู้นี้เลย โดยคุณสมยศถูกปฏิเสธการให้ประกันตัวถึง 12 ครั้ง คุณสมยศบอกว่าสิ่งที่สำคัญคือเสรีภาพ ถ้าไม่มีเสรีภาพก็ไม่ควรมีชีวิตอยู่ เพราะเท่ากับเราถูกลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ลงไป
ที่มันน่าเจ็บใจ คือเรามีสิทธิประกันตัวตามรัฐธรรมนูญ แต่ในทางปฎิบัติ กลับตรงกันข้าม และระบอบของไทยก็บังคับให้สารภาพอย่างเดียว โดยการไม่ให้ประกันตัว เช่น การให้ไปตระเวนต่างจังหวัดอยู่ 5 เดือน เปลี่ยนคุกไป 5 คุก พอกลับมา ก็บอกให้รับสารภาพดีกว่า คนที่ทนไม่ไหวก็ยอม หมดสภาพความเป็นคน ถ้ายอมเรื่อยๆ มันก็จะเหวี่ยงแหใครก็ได้ ไม่งั้นอีกหน่อย กล่าวหาใครก็ได้ แล้วไม่ให้ประกันตัว มันก็จะกลายเป็นกฎหมายที่ชั่วร้าย
ป้าอุ๊ภรรยาอากง SMS ผู้เสียชีวิตในคุกภายใต้ มาตรา 112ก็ได้มาให้กำลังใจ ป้าอุ๊บอกว่ามีความหวังมาก คิดว่าจะได้รับการปล่อยตัว แต่พอฟังคำพิพากษาแล้วก็ใจหายมาก มีความรู้สึกเหมือนวันที่อากงถูกพิพากษา
สุกัญญา ภรรยาสมยศนั้นใจแข็งไม่ร้องไห้ พร้อมบอกจะยื่นอุทรณ์และขอประกันตัวสามีเธออีก ก็ยื่นต่อไป สู้ต่อไป สองศาลไม่จำเป็นต้องมีความเห็นสอดคล้องกันสุกัญญาจำแม่นว่าสามีเธอติดคุกมาแล้ว 634 วัน
ส่วนคุณสมยศนั้นแทบไม่ทันได้พูดอะไรหลังถูกพิพากษา เพราะเขาถูกรีบนำตัวออกไปเร็วกว่าปกติ อาจารย์ธิดา ถาวรเศรฐประธาน นปช. เดินมาบอกให้ทำใจดีๆ ก่อนถูกพาตัวไป อาจารย์ธิดาบอกว่านปช.ได้พยายามผลักดันเรื่อง มาตรา112 เหมือนกัน แต่ไม่อยากให้เน้นมาก เพราะไม่อยากให้สะดุดเรื่องนิรโทษกรรมกับร่างรัฐธรรมนูญ
วันรุ่งขึ้นก็มีคนไปเยี่ยมเขาที่เรือนจำ จำนวนผู้เยี่ยมยังคงเป็นไปตามปกติ ส่วนใหญ่เป็นขาประจำที่คุ้นหน้ากันดี
หลังกลับจากศาล คุณสมยศก็ค่อนข้างเงียบ คงเพราะผิดหวังอย่างรุนแรง เนื่องจากก่อนหน้านี้เขามั่นใจมากว่าคดีของเขาไม่มีอะไรต้องกังวล อาจเป็นเพราะมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องในระดับนานาชาติ แต่ระบอบปกครองของไทยไม่ได้สนใจความคิดเห็นของต่างประเทศอยู่แล้ว
คุณสมยศมีความเชื่อมั่นว่าจะพ้นผิดแน่ โดยได้บริจาคของใช้ของตนให้นักโทษคนอื่นๆ หมดเลย พอฟังคำพิพากษาก็จะซึมบ้างธรรมดา พอมีคนมาให้กำลังใจสักพักคงฟื้น
คุณสมยศเดินออกมายิ้มทักทายผู้คน เขากล่าวว่ารู้สึกเสียใจกับผลการตัดสิน เนื่องจากเห็นว่าคดีนี้กลายเป็นคดีความเห็น ซึ่งศาลอ้างถึงแต่ความเห็นฝ่ายโจทก์ แต่กลับกลับไม่ให้ความเชื่อถือพยานฝ่ายจำเลย บางเรื่องที่ทนายจำเลยซักถามจนตกแล้ว แต่ศาลก็ยังนำมาอ้าง เช่นเรื่องประวัติศาสตร์ในแบบเรียน ทนายถามว่าแบบเรียนไหนที่พูดถึงถุงแดง พยานก็ตอบไม่ได้ พยานโจทก์อย่างนายธงทอง จันทรางศุ ก็เบิกความเองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องการตีความซึ่งขึ้นกับบริบทพื้นเพของแต่ละคนนอกจากนี้ศาลยังอ้างถึงระดับการศึกษาว่าเขาจบปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์น่าจะรู้ถึงเรื่องนี้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกเศร้ากับผลที่ออกมา แต่ก็ทำให้ได้เห็นถึงปัญหาของระบบ การตัดสินคดีนี้น่าจะทำให้เสรีภาพของสื่อกลายเป็นยุคมืดไปเลย ตอนนี้เขายังคิดอะไรไม่ออกแต่ถึงอย่างไรก็คงต้องสู้
วันนั้นภรรยาของคุณยุทธภูมิ มาตรนอก ผู้ต้องขังคดีหมิ่นกษัตริย์คนล่าสุด กำลังร่ำลาสามี โดยเมื่อ วันที่ 6พฤษภาคม 2553 นายยุทธภูมิ มาตรนอก อาชีพรับจ้าง ได้ถูกนายธนะวัฒน์ มาตรนอก ผู้เป็นพี่ชาย แจ้งจับในความผิดข้อหาหมิ่นกษัตริย์โดยพูดจาดูหมิ่นกษัตริย์ในบ้าน และเขียนคำจาบจ้วงกษัตริย์บนปกซีดีแผ่นหนึ่ง ตามมาตรา 112 ต่อมานายยุทธภูมิได้มามอบตัว และยืนยันว่าไม่ได้กระทำความผิด แต่เกิดจากการกลั่นแกล้งของพี่ชายโดยได้แสดงหลักฐานเป็นบันทึกการแจ้งความไว้เป็นหลักฐานว่าพี่ชายเคยจะใช้มีดทำร้ายและมีหนังสือข่มขู่ แต่ศาลก็รับฟ้องคดีมาตรา 112 นี้ เมื่อวันที่19 กันยายน 2555 โดยศาลไม่ให้ประกันตัวและต้องถูกคุมขังตั้งแต่วันที่ศาลรับฟ้องและศาลนัดสืบพยานอีกครั้งปลายปี กลายเป็นว่ากฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น กลายเป็นเครื่องมือต่อสู้ช่วงชิงผลประโยชน์กันในครอบครัวแล้ว
ขณะที่คุณปราณีภรรยาของคุณสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ซึ่งลงทุนย้ายมาอยู่กับเพื่อนที่ทาวเฮ้าส์ใกล้เรือนจำและมาเยี่ยมสามีทุกวัน ก็กำลังโบกมือให้คุณสุรชัย ซึ่งเป็นผู้ต้องขังคดีหมิ่นกษัตริย์ที่อายุมากที่สุด 71 ปีเกิดปี 2485 แต่ยังดูสดใส และกระตือรือล้นเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่มาเยี่ยมเขาจะได้ฟังการวิเคราะห์การเมือง และแนวทางการต่อสู้ในประเด็นต่างๆ อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเป็นประจำ
ขณะที่คุณสุกัญญา พฤกษาเกษมสุขภรรยาของสมยศ โพสต์ในเฟซบุ๊คว่า ได้ยื่นประกันตัวคุณสมยศในชั้นอุทธรณ์แล้ว และคงต้องรออีก 2-3 วันกว่าจะรู้ผล เธอเขียนไว้ว่า I actually have no hope but someone told me that we live with hope, only dead people has no hope. Life is going on. ที่จริงฉันไม่ได้หวังอะไรเลย แต่มีคนบอกว่าเราต้องอยู่อย่างมีความหวัง เพราะมีแต่คนที่ตายแล้วเท่านั้นที่ไม่มีความหวัง ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ...หลักการของศาลไทยในการใช้มาตรา 112
ถ้ายังมีความคลุมเครือสงสัยอยู่ก็ให้ตัดสินว่าจำเลยมีความผิดไว้ก่อน
เพราะกษัตริย์ไทยมีไว้เคารพสักการะ
อย่างเดียวเท่านั้น
ยกเว้นว่าบุคคลนั้นจะเป็นพวกที่ปกป้องระบอบเผด็จการดักดานเหมือนกัน

แต่เป็นที่แน่นอนแล้วว่า การพิพากษาคดีมาตรา 112 ที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นกฎหมายที่คลุมเครือแล้ว ศาลไทยยังได้ใช้หลักการที่วิปริตมาก คือให้ถือว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำความผิดจริง โดยพยายามใช้ดุลยพินิจและการคาดหมายของศาลเอง รวมไปถึงการเหมาเอาเองว่าจำเลยมีความเจตนาจะกระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา ราวกับว่าศาลได้ตรัสรู้มีญานวิเศษสามารถหยั่งรู้ถึงเจตนาของบุคคลอื่น



สรุปได้ว่า แม้นายยศวริศจะไม่ได้เอ่ยชื่อกษัตริย์ภูมิพลแต่ศาลก็รู้ว่านายยศวริศต้องการให้ประชาชนเข้าใจพาดพิงถึงกษัตริย์ภูมิพลแน่ๆ แม้ว่านายยศวริศจะไม่ได้กล่าวออกมา แต่ศาลของในหลวงก็ตีความว่า เป็นการหมิ่นตามมาตรา112 คือศาลไทยตัดสินให้นายยศวริศมีความผิดจากสิ่งที่นายยศวริศไม่ได้พูดออกมา


ท่าทีขององค์กรต่างประเทศ
ต่อคำพิพากษาสมยศ




ซิวเฮร์ เบลฮัสสัน ( Souhayr Belhassen ) ประธานสหพันธ์สิทธิมนุษยชนสากล International Federation for Human Rights ( FIDH ) ระบุว่า " แม้ว่าจะมีการเรียกร้องให้ปล่อยตัวสมยศและปฏิรูปกฎหมายหมิ่นกษัตริย์ จากทั้งพลเมืองไทย ภาคประชาสังคม และสหประชาชาติหลายครั้ง แต่ประเทศไทยก็ตัดสินใจออกห่างจากมาตรฐานระหว่างประเทศในการปกป้องเสรีภาพใน การแสดงความเห็น ทำตัวแปลกแยกจากสังคมประชาธิปไตย "


คำพิพากษาดังกล่าว มีผลอย่างมากต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและต่อเสรีภาพของสื่อมวลชน ในขณะเดียวกันคำตัดสินดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษ์ของประเทศไทยในฐานะที่เป็นสังคมแห่งเสรีภาพและประชาธิปไตย ทางสหภาพยุโรปขอเรียกร้องให้ทางการไทยกำหนดข้อจำกัดต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของประชาชนด้วยมาตรการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการรักษาไว้ซึ่งหลักสิทธิมนุษยชนสากล "

คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย ยังเรียกร้องให้ปล่อยตัวสมยศ รวมถึงผู้ที่ถูกคุมขังจากการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการแสดงความเห็นภายใต้มาตรา112 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เรียกร้องให้ไทยยกเลิกมาตรา 112 ที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อเสรีภาพในการแสดงความเห็นและสิทธิมนุษยชน
อธิบดีศาลอาญา โต้สหภาพยุโรป
ยันกฎหมายไทยเป็นสากล
-จำคุกสมยศ 10 ปี เหมาะสมแล้ว



อาจารย์วีรพัฒน์โต้อธิบดีศาลเรื่องมาตรา 112เมื่อภูผาตระหง่านสง่าแล้วไซร้
เหตุไฉนจึงผวาเกรงก้อนหินมากระทบ


ทูตอียู ชี้แจงไม่ได้แทรกแซงไทยกรณีสมยศ
No comments:
Post a Comment