ฆาตกรโหดซุกพัทยา ถูกรวบติดคุก 32 ปี !!
ไม่มีหลักฐานปรากชัดว่านาย พอล ไครน์ และ นายเกรแฮม เบิทชวูด ผู้จ้างวานเป็นเพื่อนกันมานานเท่าไหร่
นาย พอล ไครน์ ผู้รับคำสั่งฆ่า ได้บินออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2007 โดยเขาได้ไปพักอยู่ที่บ้านแม่ของ นายเกรแฮม เบิทชวูด ผู้จ้างวาน สองเดือนก่อนที่จะลงมือสังหารโหดโดยในขณะนั้นนายเกรแฮม เบิทชวูด ผู้จ้างวานเองก็อยู่ในบ้านหลังเดียวกันนี้
สองวันก่อนที่จะลงมือ นายไครน์ ทำทีเป็นว่าจะออกไปอยู่กับเพื่อน ๆ ในเมืองอื่น แต่ก็ยังคงอยู่ในเมือง Surrey เมืองที่เขาก่อเหตุ
นายไครน์ ก่อเหตุสยองต่อเหยื่อหลังจากเธอกลับจากการเดินทางไปช้อปปิ้งในเมือง Guildford หลังจากนั้นอีกสามชั่วโมงเขาก็มานั่งในสนามบิน Heathrow รอบินกลับเมืองไทย
นาง Birchwood ผู้เป็นเหยื่อ อายุ 52 ปีเป็นคนพิการ ขาไม่ดี ต้องเดินด้วยไม้เท้า ศพของเธออยู่ในสภาพที่สวมใส่เสื้อผ้า มีม้วนเทป ที่ใช้ปิดกล่องพัสดุ พันรอบข้อมือและข้อเท้า ปิดปากเธอแน่นด้วยเทป ศีรษะถูกพันด้วยสายไฟฟ้าหลายรอบและมีโลหะขนาดเล็กจับมาใช้ในการ กระชับสายไฟทำหน้าที่เป็นสายรัด ตำรวจสันนิษฐานว่าเธอเสียชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน
สามี ของเหยื่อ คือนายเกรแฮม เบิทชวูด (อายุ 54 ปี) ได้บอกตำรวจว่า เขาได้ส่ง Message ไปหาเธอแต่ไม่ได้รับตอบ จึงไปหาเธอที่บ้านและพบศพเธอในสภาพดังกล่าวจึงแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ตำรวจสอบพบพิรุธหลายอย่าง ในที่สุดจากการสอบพยานหลักฐานต่าง ๆ ก็มากพอที่จะมัดตัวนายเกรแฮม เบิทชวูด ผู้สามีซึ่งเป็นผู้บงการ อย่างเหนียวแน่น การต่อสู้คดีในศาลเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด เขาก็ถูกสั่งจำคุกตลอดชีพ และจากผลของคดีดังกล่าวทำให้สาวถึงตัวนายพอล ไครน์ ฆาตกรผู้ลงมือสังหารโหดในที่สุด
นายเกรแฮม เบิทชวูด ผู้สามีซึ่งเป็นผู้บงการ เปิดธุรกิจอยู่ในเมืองพัทยา และล้มเหลวในธุรกิจทุกอย่าง มีหนี้สินประมาณ £ 150,000 ( เกือบ 7 ล้านบาท) ทำให้เขาวางแผนชั่ว จ้างวานนายไครน์ ให้ฆ่าอดีตภรรยาโดยหวังว่าจะได้รับเงินจากประกันเนื่องจากการตายของเมียเก่า จำนวน £ 475000 (ประมาณเกือบ 22 ล้านบาท)
ทางด้านผู้ใกล้ชิดของนาง Birchwood ผู้ตายเล่าว่า เธอถูกทรยศเพราะความโลภของคนที่เธอเคยแต่งงานและอุทิศให้ถึง 30 ปี
นาง Birchwood อาศัยอยู่คนเดียว ใช้ชีวิตเรียบง่าย เธอมีสุขภาพไม่ดีนัก มีสังคมกับเพื่อนฝูงน้อยและไม่มี ศัตรู เธอได้หย่ากับนายเกรแฮมมานาน 20 ปี แต่ไม่เป็นที่เปิดเผยกับคนจำนวนมากและเธอปิดเป็นความลับกับครอบครัวและ เพื่อนของเธอ
พยาน บอกตำรวจว่านาง Birchwood ยังคงรักและซื่อสัตย์ต่อสามีของเธอถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานปี และเขาก็ยังคงกลับมาเยี่ยม หรือตรวจดูทรัพย์สินทุกสัปดาห์ตอนที่เขายังอยู่
ในที่เกิดเหตุ ตำรวจค้นพบ DNA และรอยนิ้วมือของนายไครน์ ในถ้วยที่บ้านของผู้ตาย ซึ่งลายนิ้วมือตรงกับบันทึกตำรวจจาก เมื่อปี1972 ซึ่งเขาเคยติดคุกถึงเจ็ดปี คดีกักขังหน่วงเหนี่ยวแฟนของเขาเองเพื่อเรียกค่าไถ่
ตำรวจสากล Interpol ได้บินมารวบตัวนายไครน์ถึงเมืองพัทยา โดยสืบสวนสอบสวนได้จากสมาคมชาวต่างชาติในเมืองพัทยา
นายไครน์ ฆาตกรชั่วรายนี้ เป็นนักดำน้ำระดับโลกเจ้าของสถิติ ที่ยังคงลงบันทึกใน Guinness บุ๊ค แต่สามารถสวมวิญญาณฆ่าโหดอย่างเลือดเย็นกับผู้หญิงพิการ !
————————————————————————-
ประวัติฆาตกรโหด
นายไครน์เป็นอดีตทหารอังกฤษ เกิดในแมนเชสเตอร์และไปโตในเมืองเดนวอน Devon เขากล่าวว่า ตนเองภูมิใจที่เป็นนักรบผู้กล้าบนถนน สามารถทำให้คนเป็นง่อยได้โดยเพียงแต่เป่าปากใส่ไปหนึ่งที
นายพอล ไครน์ ย้ายมาอยู่พัทยาเมื่อปี 1990 หลังจากได้รับเงินชดเชยจากบริษัทประกันจำนวน 500000 £ (ประมาณ 23 ล้านบาท) เนื่องจากอุบัติเหตุที่เขาถูกเรือชนขณะที่ดำน้ำที่เกาะมัลดีฟส์
หลังจากเกือบ 20 ปี ในเมืองพัทยา นายพอล ไครน์ ประสบความล้มเหลวในธุรกิจ เช่นเดียวกับนายเกรแฮม เบิทชวูด (และ เหมือน ๆ กับนักอาชญากรต่างชาติหลาย ๆ ราย ในเมืองนี้ที่สร้างภาพเป็นนักธุรกิจและนักลงทุน หลอกกันเองโดยใช้เมืองพัทยาเป็นแหล่งตัมตุ๋น-ผู้เขียน) ต่อมาโดยในปี 2007 นายไครน์ ก็หมดเงิน และยังมีหนี้ อีก 30,000 ปอนด์ (ประมาณ 1 ล้าน3 แสนบาท)
นักธุรกิจจอมปลอมและถังแตกทั้งคู่ จึงวางแผนชั่ว นายเกรแฮม เบิทชวูดจึงเป็นผู้จ้างวานส่วนนายพอล ไครน์สวมวิญญาณนักฆ่าอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยมีคดีฆ่าฝรั่งชาติเดียวกันตายที่จอมเทียน แต่หลุดออกมาได้ (ไม่แปลกใจเท่าไหร่-ผู้เขียน)
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อปี 2002 นายโรเบริ์ต เฮนรี่ อาชญากรข้ามชาติ ที่สร้างภาพแบบเนียน ๆ สัญชาติอังกฤษ อายุ 42 ปี ในขณะนั้น มีธุรกิจเปิดบาร์ขายหญิงไทยอยู่ซอย 6 (ซอยยศศักดิ์) ชื่อเสียงกระฉ่อนเรื่องมีห้อง ชั่วคราว หรือห้อง short time อยู่ชั้นสอง เป็นที่ฮือฮามากสำหรับชาวต่างชาติ (ต่อมาก็เปิดตามกันเต็มไปหมด อย่างที่รู้ ๆ กัน) คนพื้นที่ทราบกันดี ตำรวจรู้ นายโรเบริ์ต รู้! เหมือนที่พูดกันว่า ” I know what you know” ส่วนเจ้าห้นาที่ก็ตาใส “ผมรู้ว่าคุณรู้ว่าผมรู้ว่าคุณทำอะไร”
นายโรเบริ์ต เฮนรี่ ผู้ประกอบธุรกิจคลุมเครือค่อนข้างมืดหลายอย่าง จึงเกิดไอเดียว่า น่าจะเปิดธุรกิจอะไรที่ดูสะอาด ใส ๆ บังหน้า เลยลงทุนกับเพื่อนชื่อนาย รอน เลิฟเวอริดจ์ ชาติเดียวกัน ซึ่งเป็นอดีต SAS man ( เหมือนนักรบนินจา หรือ quiet soldier) ซึ่งได้รับการฝึกมาเป็นพิเศษ เปิดบริษัทชื่อ สยาม แอร์ สปอร์ต (Siam Air Sports) เป็น สนามบินเล็ก ฝึกสอนบิน และกีฬาทางอากาศ Parachute ต่าง ๆ โดยจ้างนายพอล ไครน์ (ฆาตกรโหดในข่าวนี้) มาเป็นผู้จัดการสนามบิน ซึ่งขณะนั้นนายพอล อายุ 55 ปี นายพอล เป็นนักดำน้ำ ช่วยชีวิตคนตกน้ำ ก็คงจะไปตัดหญ้า ถากถางที่ดิน ติดตั้ง windsock ( ถุงลมรูปกรวยติดปลายเสาเพื่อบอกทิศทางลม) ในสนามซึ่งอยู่นอกเมืองพัทยาเท่านั้นเอง สนามแห่งนี้ไม่มีมาตรฐานอะไรเลย
หลังจากเริ่มบินได้ไม่กี่ครั้ง ธุรกิจก็เจ๊งเพราะเครื่องบินตก นักบินคนไทยผิดพลาดอย่างมหันต์ โชคดีที่ไม่มีคนเสียชีวิต บาร์ Skydive Bar ในซอย (ซึ่งเป็นบาร์ของบริษัท) กลายเป็นที่ทะเลาะถกเถียงกันระหว่างหุ้นส่วนอย่างรุนแรง นายโรเบริ์ต เฮนรี่ โกรธจัดที่สูญเงินไปกับการลงทุน บริษัทประกันก็จ่ายเงินชดเชยเพียงครึ่งหนึ่งของที่เรียกร้อง ส่วนเครื่องบินเป็นชื่อของนายรอนหุ้นส่วน
นายโรเบริ์ต เฮนรี่คนนี้ มีประวัติร้ายโชกโชนมีคดีเกี่ยวกับการค้ายาเสพติดและการปลอมแปลงเครดิตคาร์ด ที่เมือง Coventry บ้านเกิด ทั้งตระกูลของนายเฮนรี่มีประวัติอาชญากรหมายเลขหนึ่งของเมืองเขา ลูกชาย(ลูกเลี้ยง) ของเฮนรี่ถูกจับคดีฆ่าคนตาย ตัวนายเฮนรี่ก็ถูกกล่าวหาคดีม่าโค้ช นักมวยชิ่อ นายโจ มอนตากู ซึ่งถูกยิงตายนอกบ้าน ซึ่งอยู่แถวชานเมืองนั้น
ในเมืองพัทยา นายเฮนรี่ก็มีเรื่องราวและคดีเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย ทะเลาะเบาะแว้งอยู่เรื่อย ๆ มีคดีทำร้ายร่างกายภรรยาคนไทย นางวิไล เชี่ยวชาญ อยู่ หลายครั้ง นอกจากนั้นก็มีเรื่องทะเลาะวิวาทและชกต่อยกับคนไทย จนชายไทยคนหนึ่งถึงกับจมูกยุบ! ครั้งหลังสุด เขาทำร้ายภรรยาจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 4 เดือนตุลาคม ปี 2003
หลังจากนางวิไลออกจากโรงพยาบาลได้เพียง 2 วัน ก็มีคนพบศพ นายเฮนรี่ นอนคว่ำหน้าตายอยู่ในหนองน้ำ แถว จอมเทียน เขาโดนกระหน่ำยิงที่ศีรษะ 6 นัด จากนั้นมีพยานเห็นกลุ่มนักซิ่งมอเตอร์ไซต์ ขับออกไปจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
หนังสือพิมพ์ต่างชาติรายงานว่า ตำรวจไทยมีวิธีการสอบสวนสืบสวนตามแบบฉบับของตำรวจไทย (ที่ไม่สามารถเลียนแบบได้) ซึ่งคาดว่าน่าจะมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องเป็นจำนวนหลายล้านบาท โดยคว้าตัวนายพอล ไครน์มาเป็นแพะ!
ทางนางวิไล เชียวชาญภรรยาผู้ตายก็สารภาพว่า ตนมีความสัมพันธ์กับนายพอลและนายพอลหึงหวงเธอ และยังอ้างว่า เธอได้รับโทรศัพท์จากชาวต่างชาติโทรมาบอกว่า ได้จับตัวนายเฮนรี่สามีไปกักขังหน่วงเหนี่ยว
ในที่สุด นางวิไลภรรยานายเฮนรี่ก็ยึดทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัท ส่วนหุ้นส่วนคือนาย รอน เลิฟเวอริดจ์ ก็ตกที่นั่งลำบาก ต้องต่อสู้ในศาลเรียกร้องสิทธิในนามหุ้นส่วนอย่างลำพังต่อไปอีกหลายปี โอกาสที่จะได้ทรัพย์สินบางส่วนคืนคงยาก เหมือนอ้อยเข้าปากช้าง
นายพอลปฏิเสธข้อกล่าวหาบงการสังหารหรือสังหารนายเฮนรี่ แต่ตำแหน่งนักดำน้ำโลกเจ้าของสถิติ ดำน้ำนาน 24 ชั่วโมง ที่ยังคงลงบันทึกใน Guinness และสถิติการช่วยชีวิตคนจมน้ำหลายต่อหลายครั้ง ก็ไม่ได้ทำให้ภาพของเขาเป็นผู้บริสุทธิ์
ในวันไต่สวน ไม่มีใครไปเป็นพยานให้นายพอลเลย ไม่มีแม้แต่เงาของนางวิไล ผู้ที่มีความสัมพันธ์กับเขาและเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ใน ทางตรงกันข้ามนางวิไลคือผู้ที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด ในขณะที่สื่อต่างชาติกล่าว่า ตำรวจไทยขาดความน่าเชื่อถือในคดีนี้ ส่วนตำรวจอังกฤษตั้งข้อสงสัยว่านายเฮนรี่เป็นคนหัวอ่อนและอาจจะถูกหลอกใช้มา ตลอด
วกกลับมาที่ คดีดังสำหรับ การจ้างวานสังหารภรรยาเพื่อนคดีนี้ ฆาตกรเลือดเย็น ปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้เกระทำ โดยสร้างหลักฐานเท็จว่า ขณะที่เกิดเหตุตนไม่ได้อยู่ในเมืองที่ผู้ตายอยู่ คดียืดเยื้อมานานหลายปี จนในที่สุด นายไครน์ก็ถูกนำตัวขึ้นฟังคำพิพากษาในวันนี้ (พุธที่ 11 สิงหาคม) ศาล เจอรามี โรเบริ์ท Judge Jeremy Roberts กล่าวว่า “ ก็น่าจะใช่ อย่างที่เขากล่าวเอง คือ ‘ตายในคุก’ “
ไม่เหมือนบ้านเรา คดีดัง บางทีก็ปิดได้อย่างรวดเร็ว บางคดีก็นานจนคนลืมไปเลย เพราะการตัดสิน ส่วนใหญ่ ขึ้นกับใบสั่ง ไม่เหมือนศาลแบบเมืองนอกที่มีระบบ ลูกขุน ไม่ใช่มีแต่ผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ ตำรวจอาสา หน่วยงาน เอ็น จี โอ ต่าง ๆ เราจึงมีอาญากรข้ามชาติมายึดพื้นที่ เต็มไปหมด เพราะ มัวแต่ สร้างภาพ “ ทำความสะอาดเมือง” เอาเข้าจริงก็ทะเลาะกันเอง เรื่องแย่งกันปฏิบัติ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ทั้งเรื่องเงินทองและหน้าที่การงาน
ปัจจัยที่เอื้อให้ เกิดพฤติกรรมการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบของตำรวจนั้น มีทั้งการที่ตำรวจได้รับเงินเดือนน้อย หากเทียบกับหน่วยงานด้านกระบวนยุติธรรม ในระดับเดียวกัน การสมยอมระหว่างตำรวจกับผู้กระทำผิด ในลักษณะที่เรียกว่า “เมื่อมีการเสนอ จึงมีการสนอง” รวมถึงกรณีนโยบายทางการเมือง มีส่วนเอื้อให้ตำรวจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ฉะนั้นการกวาดล้างอาชญากรข้ามชาติ จึงเป็นเหมือนเครื่องหมายคำถามค้างคาใจ มาตลอดว่า จริง ๆ แล้ว ถ้าเมืองพัทยาไม่มีอาชญากร (แบบคลาสสิค) ไม่มีธุรกิจมืด อย่างที่เล่ามานี้ มีแต่เรื่องโจรกระจอกกระชากสร้อย หรือเรื่องโจรงัดบ้าน เรายังจะมี ตำรวจแย่งกันมาอยู่เมืองพัทยาไหมนะ..สงสัย
วารีนา ปุญญาวัณน์
พัทยาเดลินิวส์ออนไลน์
editor@pattayadailynews.com