2011-10-20

ฆาตกรโหดซุกพัทยา ถูกรวบติดคุก 32 ปี


ฆาตกรโหดซุกพัทยา ถูกรวบติดคุก 32 ปี !!

นักฆ่าเมืองผู้ดี นาย พอล ไครน์ [Paul Cryne] อายุ 62 ปี แอบแฝงหากินอยู่ในเมืองพัทยาโดยล่าสุด เปิดบริษัทเซฟตี้ รักษาความปลอดภัย เจ๊งเป็นหนี้เป็นสิน รับจ้างเพื่อนวางแผนฆ่าโหดเมียเอาเงินประกัน ในที่สุดถูกรวบตัวจนต่อหลักฐาน ศาลสั่งติดคุก 32 ปี ฆาตกรโหดยอมรับชะตากรรมว่าต้องตายในคุก

ไม่มีหลักฐานปรากชัดว่านาย พอล ไครน์ และ นายเกรแฮม เบิทชวูด ผู้จ้างวานเป็นเพื่อนกันมานานเท่าไหร่
นาย พอล ไครน์ ผู้รับคำสั่งฆ่า ได้บินออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2007 โดยเขาได้ไปพักอยู่ที่บ้านแม่ของ นายเกรแฮม เบิทชวูด ผู้จ้างวาน สองเดือนก่อนที่จะลงมือสังหารโหดโดยในขณะนั้นนายเกรแฮม เบิทชวูด ผู้จ้างวานเองก็อยู่ในบ้านหลังเดียวกันนี้
สองวันก่อนที่จะลงมือ นายไครน์ ทำทีเป็นว่าจะออกไปอยู่กับเพื่อน ๆ ในเมืองอื่น แต่ก็ยังคงอยู่ในเมือง Surrey เมืองที่เขาก่อเหตุ
นายไครน์ ก่อเหตุสยองต่อเหยื่อหลังจากเธอกลับจากการเดินทางไปช้อปปิ้งในเมือง Guildford หลังจากนั้นอีกสามชั่วโมงเขาก็มานั่งในสนามบิน Heathrow รอบินกลับเมืองไทย
นาง Birchwood ผู้เป็นเหยื่อ อายุ 52 ปีเป็นคนพิการ ขาไม่ดี ต้องเดินด้วยไม้เท้า ศพของเธออยู่ในสภาพที่สวมใส่เสื้อผ้า มีม้วนเทป ที่ใช้ปิดกล่องพัสดุ พันรอบข้อมือและข้อเท้า ปิดปากเธอแน่นด้วยเทป ศีรษะถูกพันด้วยสายไฟฟ้าหลายรอบและมีโลหะขนาดเล็กจับมาใช้ในการ กระชับสายไฟทำหน้าที่เป็นสายรัด ตำรวจสันนิษฐานว่าเธอเสียชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน
สามี ของเหยื่อ คือนายเกรแฮม เบิทชวูด (อายุ 54 ปี) ได้บอกตำรวจว่า เขาได้ส่ง Message ไปหาเธอแต่ไม่ได้รับตอบ จึงไปหาเธอที่บ้านและพบศพเธอในสภาพดังกล่าวจึงแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ตำรวจสอบพบพิรุธหลายอย่าง ในที่สุดจากการสอบพยานหลักฐานต่าง ๆ ก็มากพอที่จะมัดตัวนายเกรแฮม เบิทชวูด ผู้สามีซึ่งเป็นผู้บงการ อย่างเหนียวแน่น การต่อสู้คดีในศาลเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด เขาก็ถูกสั่งจำคุกตลอดชีพ และจากผลของคดีดังกล่าวทำให้สาวถึงตัวนายพอล ไครน์ ฆาตกรผู้ลงมือสังหารโหดในที่สุด
นายเกรแฮม เบิทชวูด ผู้สามีซึ่งเป็นผู้บงการ เปิดธุรกิจอยู่ในเมืองพัทยา และล้มเหลวในธุรกิจทุกอย่าง มีหนี้สินประมาณ £ 150,000 ( เกือบ 7 ล้านบาท) ทำให้เขาวางแผนชั่ว จ้างวานนายไครน์ ให้ฆ่าอดีตภรรยาโดยหวังว่าจะได้รับเงินจากประกันเนื่องจากการตายของเมียเก่า จำนวน £ 475000 (ประมาณเกือบ 22 ล้านบาท)
ทางด้านผู้ใกล้ชิดของนาง Birchwood ผู้ตายเล่าว่า เธอถูกทรยศเพราะความโลภของคนที่เธอเคยแต่งงานและอุทิศให้ถึง 30 ปี
นาง Birchwood อาศัยอยู่คนเดียว ใช้ชีวิตเรียบง่าย เธอมีสุขภาพไม่ดีนัก มีสังคมกับเพื่อนฝูงน้อยและไม่มี ศัตรู เธอได้หย่ากับนายเกรแฮมมานาน 20 ปี แต่ไม่เป็นที่เปิดเผยกับคนจำนวนมากและเธอปิดเป็นความลับกับครอบครัวและ เพื่อนของเธอ
พยาน บอกตำรวจว่านาง Birchwood ยังคงรักและซื่อสัตย์ต่อสามีของเธอถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานปี และเขาก็ยังคงกลับมาเยี่ยม หรือตรวจดูทรัพย์สินทุกสัปดาห์ตอนที่เขายังอยู่
ในที่เกิดเหตุ ตำรวจค้นพบ DNA และรอยนิ้วมือของนายไครน์ ในถ้วยที่บ้านของผู้ตาย ซึ่งลายนิ้วมือตรงกับบันทึกตำรวจจาก เมื่อปี1972 ซึ่งเขาเคยติดคุกถึงเจ็ดปี คดีกักขังหน่วงเหนี่ยวแฟนของเขาเองเพื่อเรียกค่าไถ่
ตำรวจสากล Interpol ได้บินมารวบตัวนายไครน์ถึงเมืองพัทยา โดยสืบสวนสอบสวนได้จากสมาคมชาวต่างชาติในเมืองพัทยา
นายไครน์ ฆาตกรชั่วรายนี้ เป็นนักดำน้ำระดับโลกเจ้าของสถิติ ที่ยังคงลงบันทึกใน Guinness บุ๊ค แต่สามารถสวมวิญญาณฆ่าโหดอย่างเลือดเย็นกับผู้หญิงพิการ !
————————————————————————-
ประวัติฆาตกรโหด
นายไครน์เป็นอดีตทหารอังกฤษ เกิดในแมนเชสเตอร์และไปโตในเมืองเดนวอน Devon เขากล่าวว่า ตนเองภูมิใจที่เป็นนักรบผู้กล้าบนถนน สามารถทำให้คนเป็นง่อยได้โดยเพียงแต่เป่าปากใส่ไปหนึ่งที
นายพอล ไครน์ ย้ายมาอยู่พัทยาเมื่อปี 1990 หลังจากได้รับเงินชดเชยจากบริษัทประกันจำนวน 500000 £ (ประมาณ 23 ล้านบาท) เนื่องจากอุบัติเหตุที่เขาถูกเรือชนขณะที่ดำน้ำที่เกาะมัลดีฟส์
หลังจากเกือบ 20 ปี ในเมืองพัทยา นายพอล ไครน์ ประสบความล้มเหลวในธุรกิจ เช่นเดียวกับนายเกรแฮม เบิทชวูด (และ เหมือน ๆ กับนักอาชญากรต่างชาติหลาย ๆ ราย ในเมืองนี้ที่สร้างภาพเป็นนักธุรกิจและนักลงทุน หลอกกันเองโดยใช้เมืองพัทยาเป็นแหล่งตัมตุ๋น-ผู้เขียน) ต่อมาโดยในปี 2007 นายไครน์ ก็หมดเงิน และยังมีหนี้ อีก 30,000 ปอนด์ (ประมาณ 1 ล้าน3 แสนบาท)
นักธุรกิจจอมปลอมและถังแตกทั้งคู่ จึงวางแผนชั่ว นายเกรแฮม เบิทชวูดจึงเป็นผู้จ้างวานส่วนนายพอล ไครน์สวมวิญญาณนักฆ่าอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยมีคดีฆ่าฝรั่งชาติเดียวกันตายที่จอมเทียน แต่หลุดออกมาได้ (ไม่แปลกใจเท่าไหร่-ผู้เขียน)
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อปี 2002 นายโรเบริ์ต เฮนรี่ อาชญากรข้ามชาติ ที่สร้างภาพแบบเนียน ๆ สัญชาติอังกฤษ อายุ 42 ปี ในขณะนั้น มีธุรกิจเปิดบาร์ขายหญิงไทยอยู่ซอย 6 (ซอยยศศักดิ์) ชื่อเสียงกระฉ่อนเรื่องมีห้อง ชั่วคราว หรือห้อง short time อยู่ชั้นสอง เป็นที่ฮือฮามากสำหรับชาวต่างชาติ (ต่อมาก็เปิดตามกันเต็มไปหมด อย่างที่รู้ ๆ กัน) คนพื้นที่ทราบกันดี ตำรวจรู้ นายโรเบริ์ต รู้! เหมือนที่พูดกันว่า ” I know what you know” ส่วนเจ้าห้นาที่ก็ตาใส “ผมรู้ว่าคุณรู้ว่าผมรู้ว่าคุณทำอะไร”
นายโรเบริ์ต เฮนรี่ ผู้ประกอบธุรกิจคลุมเครือค่อนข้างมืดหลายอย่าง จึงเกิดไอเดียว่า น่าจะเปิดธุรกิจอะไรที่ดูสะอาด ใส ๆ บังหน้า เลยลงทุนกับเพื่อนชื่อนาย รอน เลิฟเวอริดจ์ ชาติเดียวกัน ซึ่งเป็นอดีต SAS man ( เหมือนนักรบนินจา หรือ quiet soldier) ซึ่งได้รับการฝึกมาเป็นพิเศษ เปิดบริษัทชื่อ สยาม แอร์ สปอร์ต (Siam Air Sports) เป็น สนามบินเล็ก ฝึกสอนบิน และกีฬาทางอากาศ Parachute ต่าง ๆ โดยจ้างนายพอล ไครน์ (ฆาตกรโหดในข่าวนี้) มาเป็นผู้จัดการสนามบิน ซึ่งขณะนั้นนายพอล อายุ 55 ปี นายพอล เป็นนักดำน้ำ ช่วยชีวิตคนตกน้ำ ก็คงจะไปตัดหญ้า ถากถางที่ดิน ติดตั้ง windsock ( ถุงลมรูปกรวยติดปลายเสาเพื่อบอกทิศทางลม) ในสนามซึ่งอยู่นอกเมืองพัทยาเท่านั้นเอง สนามแห่งนี้ไม่มีมาตรฐานอะไรเลย
หลังจากเริ่มบินได้ไม่กี่ครั้ง ธุรกิจก็เจ๊งเพราะเครื่องบินตก นักบินคนไทยผิดพลาดอย่างมหันต์ โชคดีที่ไม่มีคนเสียชีวิต บาร์ Skydive Bar ในซอย (ซึ่งเป็นบาร์ของบริษัท) กลายเป็นที่ทะเลาะถกเถียงกันระหว่างหุ้นส่วนอย่างรุนแรง นายโรเบริ์ต เฮนรี่ โกรธจัดที่สูญเงินไปกับการลงทุน บริษัทประกันก็จ่ายเงินชดเชยเพียงครึ่งหนึ่งของที่เรียกร้อง ส่วนเครื่องบินเป็นชื่อของนายรอนหุ้นส่วน
นายโรเบริ์ต เฮนรี่คนนี้ มีประวัติร้ายโชกโชนมีคดีเกี่ยวกับการค้ายาเสพติดและการปลอมแปลงเครดิตคาร์ด ที่เมือง Coventry บ้านเกิด ทั้งตระกูลของนายเฮนรี่มีประวัติอาชญากรหมายเลขหนึ่งของเมืองเขา ลูกชาย(ลูกเลี้ยง) ของเฮนรี่ถูกจับคดีฆ่าคนตาย ตัวนายเฮนรี่ก็ถูกกล่าวหาคดีม่าโค้ช นักมวยชิ่อ นายโจ มอนตากู ซึ่งถูกยิงตายนอกบ้าน ซึ่งอยู่แถวชานเมืองนั้น
ในเมืองพัทยา นายเฮนรี่ก็มีเรื่องราวและคดีเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย ทะเลาะเบาะแว้งอยู่เรื่อย ๆ มีคดีทำร้ายร่างกายภรรยาคนไทย นางวิไล เชี่ยวชาญ อยู่ หลายครั้ง นอกจากนั้นก็มีเรื่องทะเลาะวิวาทและชกต่อยกับคนไทย จนชายไทยคนหนึ่งถึงกับจมูกยุบ! ครั้งหลังสุด เขาทำร้ายภรรยาจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 4 เดือนตุลาคม ปี 2003
หลังจากนางวิไลออกจากโรงพยาบาลได้เพียง 2 วัน ก็มีคนพบศพ นายเฮนรี่ นอนคว่ำหน้าตายอยู่ในหนองน้ำ แถว จอมเทียน เขาโดนกระหน่ำยิงที่ศีรษะ 6 นัด จากนั้นมีพยานเห็นกลุ่มนักซิ่งมอเตอร์ไซต์ ขับออกไปจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
หนังสือพิมพ์ต่างชาติรายงานว่า ตำรวจไทยมีวิธีการสอบสวนสืบสวนตามแบบฉบับของตำรวจไทย (ที่ไม่สามารถเลียนแบบได้) ซึ่งคาดว่าน่าจะมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องเป็นจำนวนหลายล้านบาท โดยคว้าตัวนายพอล ไครน์มาเป็นแพะ!
ทางนางวิไล เชียวชาญภรรยาผู้ตายก็สารภาพว่า ตนมีความสัมพันธ์กับนายพอลและนายพอลหึงหวงเธอ และยังอ้างว่า เธอได้รับโทรศัพท์จากชาวต่างชาติโทรมาบอกว่า ได้จับตัวนายเฮนรี่สามีไปกักขังหน่วงเหนี่ยว

ในที่สุด นางวิไลภรรยานายเฮนรี่ก็ยึดทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัท ส่วนหุ้นส่วนคือนาย รอน เลิฟเวอริดจ์ ก็ตกที่นั่งลำบาก ต้องต่อสู้ในศาลเรียกร้องสิทธิในนามหุ้นส่วนอย่างลำพังต่อไปอีกหลายปี โอกาสที่จะได้ทรัพย์สินบางส่วนคืนคงยาก เหมือนอ้อยเข้าปากช้าง
นายพอลปฏิเสธข้อกล่าวหาบงการสังหารหรือสังหารนายเฮนรี่ แต่ตำแหน่งนักดำน้ำโลกเจ้าของสถิติ ดำน้ำนาน 24 ชั่วโมง ที่ยังคงลงบันทึกใน Guinness และสถิติการช่วยชีวิตคนจมน้ำหลายต่อหลายครั้ง ก็ไม่ได้ทำให้ภาพของเขาเป็นผู้บริสุทธิ์
ในวันไต่สวน ไม่มีใครไปเป็นพยานให้นายพอลเลย ไม่มีแม้แต่เงาของนางวิไล ผู้ที่มีความสัมพันธ์กับเขาและเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ใน ทางตรงกันข้ามนางวิไลคือผู้ที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด ในขณะที่สื่อต่างชาติกล่าว่า ตำรวจไทยขาดความน่าเชื่อถือในคดีนี้ ส่วนตำรวจอังกฤษตั้งข้อสงสัยว่านายเฮนรี่เป็นคนหัวอ่อนและอาจจะถูกหลอกใช้มา ตลอด
วกกลับมาที่ คดีดังสำหรับ การจ้างวานสังหารภรรยาเพื่อนคดีนี้ ฆาตกรเลือดเย็น ปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้เกระทำ โดยสร้างหลักฐานเท็จว่า ขณะที่เกิดเหตุตนไม่ได้อยู่ในเมืองที่ผู้ตายอยู่ คดียืดเยื้อมานานหลายปี จนในที่สุด นายไครน์ก็ถูกนำตัวขึ้นฟังคำพิพากษาในวันนี้ (พุธที่ 11 สิงหาคม) ศาล เจอรามี โรเบริ์ท Judge Jeremy Roberts กล่าวว่า “ ก็น่าจะใช่ อย่างที่เขากล่าวเอง คือ ‘ตายในคุก’ “
ไม่เหมือนบ้านเรา คดีดัง บางทีก็ปิดได้อย่างรวดเร็ว บางคดีก็นานจนคนลืมไปเลย เพราะการตัดสิน ส่วนใหญ่ ขึ้นกับใบสั่ง ไม่เหมือนศาลแบบเมืองนอกที่มีระบบ ลูกขุน ไม่ใช่มีแต่ผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ ตำรวจอาสา หน่วยงาน เอ็น จี โอ ต่าง ๆ เราจึงมีอาญากรข้ามชาติมายึดพื้นที่ เต็มไปหมด เพราะ มัวแต่ สร้างภาพ “ ทำความสะอาดเมือง” เอาเข้าจริงก็ทะเลาะกันเอง เรื่องแย่งกันปฏิบัติ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ทั้งเรื่องเงินทองและหน้าที่การงาน
ปัจจัยที่เอื้อให้ เกิดพฤติกรรมการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบของตำรวจนั้น มีทั้งการที่ตำรวจได้รับเงินเดือนน้อย หากเทียบกับหน่วยงานด้านกระบวนยุติธรรม ในระดับเดียวกัน การสมยอมระหว่างตำรวจกับผู้กระทำผิด ในลักษณะที่เรียกว่า “เมื่อมีการเสนอ จึงมีการสนอง” รวมถึงกรณีนโยบายทางการเมือง มีส่วนเอื้อให้ตำรวจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ฉะนั้นการกวาดล้างอาชญากรข้ามชาติ จึงเป็นเหมือนเครื่องหมายคำถามค้างคาใจ มาตลอดว่า จริง ๆ แล้ว ถ้าเมืองพัทยาไม่มีอาชญากร (แบบคลาสสิค) ไม่มีธุรกิจมืด อย่างที่เล่ามานี้ มีแต่เรื่องโจรกระจอกกระชากสร้อย หรือเรื่องโจรงัดบ้าน เรายังจะมี ตำรวจแย่งกันมาอยู่เมืองพัทยาไหมนะ..สงสัย

วารีนา ปุญญาวัณน์
พัทยาเดลินิวส์ออนไลน์
editor@pattayadailynews.com