วิธีชนะมิตรและจูงใจคน ของ เดล คาร์เนกี ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
https://www.novabizz.com/NovaAce/Relationship/Relation_Technique.htm
บทที่ 1
การตำหนิติเตียน
- 99 ครั้งใน 100
ครั้งแห่งความผิดของมนุษย์ เขาจะไม่ตำหนิติเตียนตนเองแต่อย่างใด แม้ความผิดพลาดนั้นจะ
ร้ายแรงสักขนาดไหนก็ตาม
- การตำหนิติเตียน เป็นสิ่งไร้ประโยชน์ เพราะจำต้องทำให้ผู้ถูกติเตียนแก้ตัวต่างๆ
และพยายามที่จะเข้าข้างตนเอง การตำหนิติเตียนเป็นภัย เพราะมันสามารถทำให้จิตใจอันภาคภูมิของมนุษย์ได้รับความปวดร้าว
ทำลายความรู้สึกแห่งการเป็นคนมีความสำคัญ และก่อให้เกิดโทสะ
- ก่อนที่จะตำหนิติเตียนผู้อื่น แก้ไขวิพากวิจารณ์ผู้อื่น
จงแก้ไขตัวของเราเองให้เรียบร้อยเสียก่อน
- ในการติดต่อกับบุคคลทั่วๆไป เราจงจำไว้เสมอว่าเรามิได้ติดต่อกับบุคคลที่เพียบพร้อมด้วยเหตุผล
แต่เราติดต่อกับบุคคลซึ่งเต็มไปด้วยความ ผันแปรแห่งอารมณ์ และห้อมล้อมอยู่ด้วยอคติ
และจิตใจคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลาด้วยความหยิ่งทะนง และทิฐิ
- "ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวร้ายต่อผู้ใด จะกล่าวเฉพาะแต่ความดีเท่าที่ข้าพเจ้ารู้ของมนุษย์ทุกคน"
- ควบคุมตนเอง-เข้าใจผู้อื่น-ยินดีให้อภัย ค้นหาความจริงว่าทำไมเขาจึงได้กระทำลงไปอย่างที่เขาได้กระทำ
การเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง คือ การให้อภัยทุกสิ่งทุกอย่าง
- ทำไม เราจึงจะด่วนตัดสินผู้อื่นเร็วจนเกินไปเล่า?
บทที่ 2
เคล็ดลับที่ยิ่งใหญ่ในการติดต่อกับผู้อื่น
- มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้ใครต่อใครทำทุกสิ่งทุกอย่าง
ท่านเคยหยุดคิดเรื่องนี้บ้างไหม? ถูกแล้ว
มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น และนั่นคือ การทำให้บุคคลผู้นั้น "ต้องการ"
ที่จะทำ โปรดจำไว้ ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว
- มีอยู่ไม่กี่อย่างที่เรามนุษย์ธรรมดา มีความกระหายอยากได้ด้วยหัวใจที่จดจ่อ
นั่นคือ มีสุขภาพสมบูรณ์อายุยืน อาหาร นอนหลับ เงินและ สิ่งซึ่งจะซื้อได้ ความสุขในอนาคต
ความเกษมสำราญในกามรมณ์ ลูกได้รับความสุขสวัสดี และความรู้สึกเป็นคนสำคัญ
- ความปรารถนาเพื่อจะเกิดความรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ เป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างมนุษย์
กับสัตว์เดียรัจฉาน
- วิธีที่จะส่งเสริมให้เขาเหล่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นผู้ร่วมงาน
ผู้ใต้บังคับบัญชา ให้เขามีความขยันหมั่นเพียรอย่างสูงสุด ก็คือ การยกย่องสรรเสริญและให้กำลังใจ
- ไม่มีสิ่งใดจะทำลายความทะเยอทะยานของผู้น้อย ยิ่งไปกว่าการตำหนิติเตียนจากหัวหน้า
- การยกย่องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ส่วนการเยินยอทำด้วยความไม่สุจริตใจ
อย่างหนึ่งออกมาจากหัวใจ อีกอย่างหนึ่งออกมาจากไรฟัน อย่างหนึ่งปราศจากการเห็นแก่ตัว
อีกอย่างหนึ่งเต็มด้วยการเห็นแก่ตัว อย่างหนึ่งให้โทษมหันต์
- เลิกคิดถึงความคิดวิเศษวิโสของเรา ความต้องการโน่นนี่ของเรา
เราจงมาคิดถึงความดีประการต่างๆของผู้อื่นบ้าง แต่อย่าได้ใช้คำเยินยอ ในการชมเชยเป็นอันขาด
หากจงใช้ คำยกย่องสรรเสริญด้วยความจริงใจและสุจริต คำพูดของท่านจะฝังอยู่ในความทรงจำและเป็นสมบัติ
อันล้ำค่าแก่อีกฝ่ายหนึ่งนานเท่านานจนตลอดชีวิต จะดำรงอยู่ให้เขาระลึกถึงมันเสมอเป็นเวลาหลายปี
แม้ว่าท่านเองอาจจะลืมเสียสิ้นแล้ว
บทที่ 3
จงปลุกความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งให้เกิดความต้องการอย่างแรงกล้า
- การชักจูงความประพฤติของมนุษย์ สิ่งแรก จงปลุกความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งให้เกิดความต้องการอย่างแรงกล้า
ผู้ที่สามารถทำได้เช่นนี้ โลกทั้งโลกอยู่ข้างเขา ผู้ที่ทำไม่ได้ จะเดินไปตามหนทางอันอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
- วันพรุ่งนี้ ท่านอาจจะต้องการให้ใครสักคนหนึ่งทำการบางอย่าง
ก่อนท่านจะกล่าวคำพูดออกมา ท่านจงหยุด ถามตนเอง "ฉันจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะทำให้เขาต้องการทำตามที่ฉันชักจูง?"
คำถามนี้จะช่วยให้เรายั้งคิดแทนการผลีผลามไปพูดกับใครๆ
ถึงความต้องการของเรา โดยปราศจากผล
- "ถ้ามีเคล็ดลับอย่างใดอย่างหนึ่งส่งเสริมให้ไปสู่ความสำเร็จ
เคล็ดลับอันนั้นก็คือความสามารถเข้าใจในแง่คิดเห็น ของอีกฝ่ายหนึ่ง และความสามารถมองสิ่งต่างๆในมุมของเขาได้ดีเท่าๆกับมุมของท่านเอง"
ตอนที่ 2 วิธีปฏิบัติ 6 ประการเพื่อทำให้ผู้อื่นชอบท่าน
บทที่ 1
จงปฏิบัติตามนี้ แล้วจะมีผู้ต้อนรับท่านทุกหนทุกแห่ง
- การผูกมิตรกับผู้อื่นจะสำเร็จเรียบร้อยภายในเวลา
2 เดือน ด้วยการเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อเขาผู้นั้น
ซึ่งจะได้ผลยิ่งกว่าการผูกมิตรซึ่งใช้ เวลาถึง 2 ปี
แต่ด้วยความพยายามให้เขาผู้นั้นเอาใจใส่ต่อเรา
- บุคคลใดที่ละเว้นการเอาใจใส่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ไม่เพียงแต่เขาจะดำรงชีวิตอยู่โดยปราศจากความราบรื่น หากเขาจะเป็นมนุษย์ที่มี อันตรายอย่างใหญ่หลวงแก่ผู้อื่นด้วย
มนุษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ห่างไกลจากความก้าวหน้า และความรุ่งเรืองในประการทั้งปวง
- ฉะนั้น จงเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อผู้อื่น ขอเน้น จงเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อผู้อื่น
ถ้าท่านต้องการให้ผู้อื่นชอบท่าน
บทที่ 2
วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้ผู้อื่นติดเนื้อต้องใจเมื่อแรกพบ
- ท่านไม่มีความรู้สึกที่จะยิ้มเลยหรือ?
เมื่อเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?
มีอยู่
2 ประการ ประการแรกจงบังคับตัวท่านให้ยิ้มจนได้ ถ้าท่านอยู่
คนเดียว จงบังคับตัวของท่านให้ผิวปาก หรือทำเสียงหึ่มๆเป็นทำนองเพลง หรือร้องเพลง ท่านจงทำกิริยาท่าทางเหมือนหนึ่งท่านกำลังมีความสุข
และในที่สุด จะโน้มความรู้สึกของท่านให้มีความสุขจริงๆ
- ความสุขมิได้อยู่ที่สิ่งแวดล้อมภายนอก แต่อยู่ที่สิ่งแวดล้อมภายในต่างหาก
- ไม่ใช่เพราะสิ่งที่ท่านมี หรือท่านอยู่ในฐานะใด หรือท่านอยู่ที่ไหน
หรือท่านกำลังกระทำสิ่งใดที่ช่วยให้ท่านมีความสุข หรือปราศจาก ความสุข มันอยู่ที่ท่านคิดถึงสิ่งเหล่านั้นต่างหาก
คนส่วนมากมีความสุขมากน้อยเพียงใด แล้วแต่จะทำใจให้รู้สึกเช่นนั้น
- "ท่านจะไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียวคิดถึงศัตรูของท่าน
จงพยายามตั้งใจให้แน่วแน่ มั่นคงในสิ่งที่ท่านปรารถนาจะกระทำ ครั้นแล้ว โดยปราศจากการลังเลหันเห
ท่านจงมุ่งตรงไปสู่จุดหมายนั้น จงทำใจของท่านให้จดจ่ออยู่เสมอว่า ความปรารถนาของท่านเพื่อกระทำสิ่งใดๆ
จะประสบผลอันงามเลิศ แล้วท่านจะพบว่าขณะวันและเวลาล่วงไป โอกาสจะเปิด ให้ท่านประสบความสำเร็จตามความปรารถนาโดยไม่รู้ตัว"
- จงสร้างมโนภาพของท่าน ถึงบุคคลที่มีสมรรถภาพสูง เข้มแข็งเอาการเอางาน
ซึ่งท่านประสงค์จะเป็นเช่นนั้นบ้าง และจากความนึกคิด ทุกๆชั่วโมงอันนี้เอง
สามารถเปลี่ยนแปลงท่านให้เป็นบุคคลที่มีความเด่นเป็นพิเศษ..... ความคิด เป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด
จงดำรง รักษาจิตใจ แนวจิตไว้ให้อยู่ในท่าทีถูกต้องดีงาม ท่าทีแห่งความกล้าหาญบึกบึน
แห่งความเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา และร่าเริงแจ่มใส ความคิดอันถูกต้องดีงามจะนำไปสู่การสร้างสรรค์
ความสำเร็จสมดังปรารถนามาจากความตั้งใจจริง เราจะเป็นอย่างไร แล้วแต่ใจเราคิด
- มีภาษิตของจีนกล่าวไว้ว่า คนที่ใบหน้าไม่ยิ้ม อย่าเปิดร้านค้าขาย ฉะนั้น วิธีง่ายๆ
ที่ทำให้ผู้อื่นติดใจเมื่อแรกพบ ก็คือ "ยิ้ม"
บทที่ 3
ถ้าท่านไม่ทำตามนี้ ท่านจะบ่ายหน้าไปพบความยุ่งยาก
- การให้เกียรติโดยการตั้งชื่อ
- พยายามจดจำชื่อบุคคลที่เราพบปะให้ได้มากที่สุด
- จงจำไว้ว่า ชื่อของบุคคลใดก็ตาม สำหรับบุคคลนั้น เป็น
สำเนียงหวานที่สุด และสำคัญที่สุด ในภาษามนุษย์
บทที่ 4
หนทางง่ายๆ ที่จะเป็นนักสนทนาที่ดี
- ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ สนใจอย่างแท้จริง ไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่จะเป็นการแสดงความคารวะยิ่งไปกว่านี้
- มีบุคคลอยู่เป็นอันมาก ประสบความล้มเหลวที่จะเป็นผู้ได้รับความนิยม
เนื่องจากไม่ฟังผู้อื่นอย่างตั้งอกตั้งใจ
- ความสามารถเป็นนักฟังที่ดีของมนุษย์เป็นสิ่งหายาก
เกือบจะยิ่งกว่านิสัยดีๆอื่นๆทั้งหลาย
- จงตั้งคำถามในเรื่องที่อีกฝ่ายหนึ่งจะตอบด้วยความยินดี
สนับสนุนให้ผู้อื่นสนทนาถึงเรื่องของเขา และความสำเร็จของเขา
- โปรดจำไว้เสมอว่า บุคคลที่ท่านสนทนาด้วย เป็นผู้สนใจตัวของเขาเอง
ความต้องการของเขา และปัญหาของเขา ยิ่งกว่าจะสนใจในตัวท่าน และปัญหาของท่านตั้งร้อยเท่า
จงเป็นนักฟังที่ดี จงสนับสนุนให้อีกฝ่ายหนึ่งคุยถึงเรื่องของเขา
บทที่ 5
วิธีทำให้ผู้อื่นสนใจ
- ค้นหาความจริงว่าเขาสนใจในสิ่งใด และเขามีความสุขในการสนทนาถึงสิ่งใด
สนทนาในเรื่องที่อีกฝ่ายหนึ่งสนใจ
บทที่ 6
วิธีทำให้ผู้อื่นชอบท่านในทันที
- จงทำให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญ
- จงปฏิบัติต่อผู้อื่น เช่นเดียวกับที่ท่านต้องการจะให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน
- คำพูดสั้นๆ เช่น "-ขอโทษที่ต้องรบกวน"
, "โปรด",
"กรุณา", "ขอบคุณ"
ความสุภาพอ่อนโยนเพียงเล็กน้อยจะช่วยปลอบใจอีกฝ่ายหนึ่งให้หายจากความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียจากงานประจำวัน
จงทำให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญ และ จงทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ตอนที่ 3 วิธีปฏิบัติ 12 ประการ เพื่อจูงใจให้ผู้อื่นคล้อยตามแนวความคิดของท่าน
บทที่ 1
ท่านไม่สามารถชนะการโต้แย้ง
- มีอยู่หนทางเดียวเท่านั้นที่จะบันดาลให้การโต้แย้งเป็นสิ่งดีที่สุด
นั่นก็คือ หลบหลีกมันเสีย จงหลบหลีกการโต้แย้ง เช่นเดียวกับท่านหลบหลีกงูพิษ
- 9 ใน 10
ครั้งของการโต้แย้ง จะจบลงด้วยต่างฝ่ายต่างเชื่อมั่นยิ่งขึ้นไปกว่าเก่าว่า ตนเป็นฝ่ายถูกเต็มที่
- "คนที่จำใจต้องเชื่อ ในสิ่งที่เขาไม่เชื่อ ความคิดเห็นของเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง"
- เบนจามิน แฟรงคลิน กล่าวไว้ว่า "ถ้าท่านโต้แย้ง
พูดให้เจ็บใจ และ เถียง ท่านอาจประสบชัยชนะในบางครั้ง แต่เป็นชัยชนะที่ว่างเปล่า ทั้งนี้ก็เพราะท่านไม่สามารถได้รับไมตรีจิตจากอีกฝ่ายหนึ่ง"
ดังนั้นขอให้ท่านพิจารณาด้วยตนเองว่า ท่านต้องการชัยชนะในการโต้แย้ง หรือต้องการไมตรีจิตจากอีกฝ่ายหนึ่ง?
น้อยนักที่จะได้รับทั้งสองอย่าง
- "เป็นสิ่งสุดวิสัย
ที่จะเอาชนะคนโง่เขลา เบาปัญญา ด้วยการโต้แย้ง"
- พระพุทธเจ้าตรัส "เวร (ความเกลียด ความพยาบาท)
ย่อมไม่ระงับด้วยเวร แต่ระงับด้วยความรัก" และทำนองเดียวกัน ความไม่เข้าใจต่อกัน
ย่อมจะไม่ระงับด้วยการโต้แย้ง แต่ด้วยความรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ความสุขุมรอบคอบ ความประนีประนอม
และความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งจะช่วยให้มองเห็นแง่คิดของอีกฝ่ายหนึ่งได้
- ลินคอน กล่าว "บุคคลใดมีเจตนาที่จะได้ประโยชน์สูงสุด
เพื่อตัวเขาเอง เขาจะไม่ใช้เวลาให้หมดไปโดยการโต้เถียงเป็น อันขาด การโต้เถียงจะเป็นผลให้เกิดโทสะ
และทำลายอำนาจบังคับตนเอง และจงยอมจำนนต่อการโต้เถียงในเรื่องใหญ่ ซึ่งผลที่ท่านจะได้รับ
ไม่มีอะไรมากไปกว่าการอวดตนว่าท่านไม่แพ้ใคร และจงยอมจำนนต่อการโต้เถียงในเรื่องเล็ก
แม้ท่านมีสิทธิ์ที่จะกระทำอย่างเต็มที่ จงให้ทางแก่หมาแทนที่ท่านจะต่อสู้กับมัน
เพื่อรักษาสิทธิ์ของท่านจนท่านถูกมันกัดเอา แม้ท่านจะฆ่าหมาตัวนั้นเสีย แต่ท่านก็ยังคงมีแผลถูกกัดอยู่นั่นเอง
- ฉะนั้น กฎข้อที่ 1 มีดังนี้
วิธีระงับการโต้แย้ง หรือโต้เถียง ที่ดีที่สุดก็คือ
จงหลีกเลี่ยงเสีย
บทที่ 2
หนทางอันแน่นอนที่จะสร้างศัตรู และวิธีหลีกเลี่ยง
- ท่านจะกล่าวหาผู้อื่นว่าทำผิด ด้วยสายตา ด้วยสำเนียง
หรือด้วยอากัปกิริยาใดก็ตาม ย่อมมีความหมายทำนองเดียวกับ ท่านลั่นวาจาออกไป
- การกล่าวหาของท่านเปรียบเสมือนท่านชกกร้วมเข้าที่สติปัญญาของเขา
ดุลยพินิจของเขา ความภาคภูมิใจของเขา และความเคารพตนเองของเขา ผลก็คือ จะทำให้เขาผู้นั้นต้องการจะตอบโต้บ้าง
- อย่าเริ่มคำพูดด้วยประโยค "ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้"
เป็นวาจาที่ไม่สมควรเลย เป็นวาจาที่ส่อ ความหมายว่า "ผมวิเศษกว่าคุณ"
- ถ้าท่านต้องการจะพิสูจน์ให้เห็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม
จงอย่าให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ตัวเป็นอันขาด จงกระทำอย่างมีชั้นเชิง อย่างมีไหวพริบ โดยไม่มีใครรู้สึกว่าท่านได้กระทำลงไป
"มนุษย์จะต้องสอนเหมือนกับท่านมิได้สอน และ สิ่งใดที่เขาไม่รู้ จงเสนอแก่เขา
เหมือนหนึ่งเขาลืมไป"
- Lord Chesterfield รัฐบุรุษ-นักปราชญ์อังกฤษ
ค.ศ.1694-1737 สอนลูกชายว่า "เจ้าจงเป็นผู้ฉลาดกว่าผู้อื่น
ถ้าเจ้า สามารถเป็นเช่นนั้นได้ แต่อย่าได้บอกให้เขารู้ว่าเจ้าฉลาดกว่าเขา"
- คำพูดเช่น "ผมอาจจะผิดไปก็ได้"
"ผมมักจะผิดเสมอ" "เรามาพิจารณาข้อเท็จจริงกันดีกว่า" เป็นคำพูดซึ่งมีอำนาจวิเศษอย่างแท้จริงใน
อันที่จะทำความพอใจให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง
- ด้วยการยอมรับว่าท่านอาจจะเป็นผู้ผิด ท่านจะไม่มีเรื่องกับใครเป็นอันขาด
เพราะการพูดเช่นนี้จะยุติการถกเถียงลงอย่างสิ้นเชิง และ "จูงใจให้อีกฝ่ายหนึ่งมีความยุติธรรม
และใจกว้างเหมือนท่าน"
- จากหนังสือ "การสร้างจิตใจ" ของ ศ.เยมส์
อาร์วีย์ รอบินซัน :-
"ในบางครั้งเราจะพบว่า เราเปลี่ยนใจของเราอย่างง่ายดาย
โดยไม่ต้องมีเรื่องขัดใจ หรือเกิดความสะเทือนใจอันรุนแรง
ใดๆ แต่ถ้ามีใคร มาบอกว่าเราผิด เราจะรู้สึกฉิวในคำกล่าวหานั้น
และใจของเราจะเกิดอาการกระด้างกระเดื่องขึ้นมา เราต่างเป็นคนที่ไม่สู้จะเอาใจใส่เลยว่า
ความเชื่อถือของเราอยู่ในลักษณะใดบ้าง แต่ถ้าหากมีใครมาข่มเหงน้ำใจเรา เราจะเกิดความเชื่อในสิ่งที่เราเชื่ออย่างแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ไม่ใช่ ความคิดของเราหรอกที่เราหวงแหนนัก แต่เราหวงแหน ความนับถือตนเองโดยจะไม่ยอมให้ถูกข่มขู่ต่างหาก"
- เมื่อเราทำผิด เราอาจจะยอมรับผิดกับตัวของเราเอง ถ้าผู้อื่นรู้จักปฏิบัติต่อเราด้วยวิธีอันละมุนละไม
และถูกกาละเทศะ เราอาจจะยอมรับผิด กับผู้นั้นอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาโดยปราศจากความสะทกสะท้าน
แต่เราจะไม่ยอมรับผิดเป็นอันขาด ถ้ามีใครมาบังคับขู่เข็ญให้เราพูด ความจริง
- ละเว้นการคิดค้านโต้แย้งให้ผู้อื่นได้รับความสะเทือนใจ
หรือกล่าวยืนยันอย่างหนึ่งอย่างใดว่าข้าพเจ้าถูก และข้าพเจ้า จะไม่ยอมใช้คำพูด ใดๆ
ที่บ่งไปโดยชัดแจ้งว่าข้าพเจ้ามีความคิดเห็นอย่างแน่นแฟ้นมั่นคง เป็นต้นว่า
"แน่ทีเดียว" , "ไม่มีอะไรที่ควรสงสัย"
ฯลฯ ข้าพเจ้าใช้คำพูด แทนว่า "ฉันนึกว่า" ,
"ฉันเข้าใจว่า" หรือ "ฉันคิดว่า" จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
หรือ "เท่าที่ปรากฎเวลานี้ดูเหมือน" เบนจามิน
แฟรงคลิน นัก การทูตชั้นยอดของสหรัฐฯ กล่าวไว้ว่า"เมื่ออีกฝ่ายหนึ่ง ยืนยันบางประการ
ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเขาผิด ข้าพเจ้าไม่ยอมถือเป็นของสนุกที่จะขัดคอเขาทันที หรือแสดง
กิริยาอย่างหนึ่งอย่างใดไปในทางเยาะเย้ยความเข้าใจของเขา"
- การถ่อมตนในการแสดงความคิดเห็น ช่วยให้คู่สนทนายอมรับความคิดเห็นของเราง่ายยิ่งขึ้น
และมีการโต้เถียงน้อยลง ถ้าเราผิดก็จะไม่ รู้สึกอับอายขายหน้ามากมาย เมื่อเราถูก เราจะสามารถจูงใจอีกฝ่ายหนึ่งให้ยอมแพ้อย่างง่ายดาย
และมีความคิดเห็นคล้อยตามเรา
- พระเยซูพูด "จงคล้อยตามปรปักษ์ของท่านโดยเร็ว"
หรืออีกนัยหนึ่งคือ
อย่าโต้แย้งลูกค้าของท่าน ภรรยาของท่าน หรือปรปักษ์ของท่านอย่าบอกว่าเขาผิด อย่ายั่วให้เขาเกิดโทสะ
แต่จงใช้ชั้นเชิงบ้างสักเล็กน้อย
- จงมี "ชั้นเชิง" อย่าช่วยให้เราได้ชัยชนะดังนั้น
ถ้าท่านต้องการจูงใจผู้อื่นให้คล้อยตามแนวความคิดของท่าน
กฎข้อที่ 2 มีดังนี้
"จงเคารพความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง
อย่าบอกผู้ใดว่าเขาผิดเป็นอันขาด"
บทที่ 3
ถ้าท่านผิด จงสารภาพ
- ถ้าเรารู้ตัวว่าเราทำผิด จะไม่ดีกว่าหรือที่เราจะกล่าวถึงความผิดของเราก่อนอีกฝ่ายหนึ่งจะแย้มปาก?
"การตำหนิติเตียนตนเอง ย่อมจะน่าฟังกว่าให้คนแปลกหน้า หรือคนอื่นมาตำหนิติเตียนเรา"
- ท่านจงปรักปรำลงโทษตัวของท่านในประการต่างๆ ถ้าหากท่านรู้ตัวว่าอีกฝ่ายหนึ่งคิด
หรือต้องการจะพูด หรือตั้งใจจะพูดอย่างไร และ ท่านจงพูดก่อนอีกฝ่ายหนึ่งมีโอกาสแย้มปาก
ซึ่งเป็นการลดความโมโหโทโสของเขาให้สงบลงได้ จากการกระทำเช่นนี้ ท่านมีโอกาสอัน งดงามที่จะจูงใจให้เขาเป็นคนใจกว้าง
เปลี่ยนท่าทีโอนอ่อนไปในทางให้อภัย และจะเห็นความผิด ของท่านเป็นสิ่งเล็กน้อย
- คนโง่มักจะแก้ตัวเมื่อได้กระทำผิด และคนโง่ส่วนมากปฏิบัติเช่นนี้
แต่ด้วยการสารภาพผิดอย่างน่าชื่นตาบาน ไม่เพียงจะทำให้คนเรา กลายเป็นผู้อยู่เหนือกว่าฝูงสัตว์
หากจะทำให้มีใจสูงขึ้นด้วย
- เมื่อเราเป็นฝ่ายถูก เราจงชักจูงอีกฝ่ายหนึ่งให้มาสู่แนวทางแห่งความคิดของเราอย่างสุภาพและนิ่มนวล
และเมื่อเราเป็นฝ่ายผิด ถ้าเรามีใจ เที่ยงตรง เราจะพบความจริงว่าเราเป็นฝ่ายผิดบ่อยๆ
เราจงยอมรับผิดโดยเร็ว และด้วยความร้อนกระวนกระวาย วิธีรับผิดนี้ไม่เพียงแต่จะนำ ผลอันน่าพิศวงมาให้เท่านั้น
หากท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม โดยการใช้วิธีเดียวกันนี้ จะทำให้เราเกิดอารมณ์สนุกยิ่งกว่าพยายามแก้ตัว
- สุภาษิตเก่า "ด้วยการต่อสู้ ท่านจะมิได้รับผลเป็นที่พอใจ
แต่ด้วยการยอมจำนน ท่านจะได้รับมากกว่าที่ท่านหวัง
ดังนั้นกฎข้อที่ 3 :-
ถ้าท่านผิด จงรับผิดโดยอย่าได้รอช้า และ รับด้วยเสียงหนักแน่น
บทที่ 4
หนทางอันเลิศที่จะเข้าถึงเหตุผลของผู้อื่น
- "ถ้าหากท่านถูกยั่วให้เกิดโทสะ และท่านพูดใส่หน้าอย่างไม่อั้นต่อผู้ยั่วโทสะท่านสักประโยคสองประโยค
ท่านจะสบายใจที่ได้ระบาย ความเดือดดาลของท่าน แล้วอีกฝ่ายหนึ่งเล่า?
เขามีส่วนร่วมสบายใจเหมือนท่านหรือเปล่า
การเอะอะโผงผางของท่าน กิริยาท่าทีตั้งท่าเป็น ศัตรูของท่าน ท่านคิดว่าเป็นของง่ายที่จะชักนำให้เขามีความเห็นสอดคล้องกับท่านกระนั้นหรือ?"
- วูดโรว์ วิลสัน กล่าว "ถ้าท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยการกำหมัด
ข้าพเจ้าขอรับรองว่า หมัดของข้าพเจ้าจะกำแน่นยิ่งไปกว่าของท่าน แต่ถ้าท่าน มาหาข้าพเจ้าและพูดว่า
"เรามานั่งลงปรึกษาหารือกันดีกว่า และถ้าหากว่า ความคิดเห็นของเราขัดแย้งกัน
เรามาทำความเข้าใจกันว่าเหตุใดเรา จึงมีความเห็นไม่ตรงกัน และอะไรเป็นแง่ในปัญหานั้น"
เราจะพบความจริงว่าเรา กลายเป็นกันเอง และความเห็นขัดแย้งกันในแง่ต่างๆ จะมี อยู่บ้างก็เพียงเล็กน้อย
ในเมื่อแง่ที่มีความเห็นสอดคล้องกันมีอยู่มาก และถ้าเราเป็นคนรู้จักมีน้ำอดน้ำทน พูดอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา
และ มีเจตนาที่จะสมัครสมานซึ่งกันและกัน เราจะผ่อนสั้น ผ่อนยาวเข้าหากัน"
- ถ้าบุคคลใดมีใจปวดร้าวอยู่ด้วยความขุ่นแค้นและโกรธเคืองท่าน
ท่านจะไม่สามารถจูงใจเขาให้คล้อยตามแนวความคิด ของท่านเป็นอันขาด แม้จะใช้หลักตรรกวิทยาที่มีอยู่ทั้งหมดในโลก
พ่อแม่ที่ชอบดุด่า และนายหรือสามีที่ชอบใช้อำนาจ หรือภรรยาที่ชอบจู้จี้ ควรจะรู้ความจริงว่า
จากการปฏิบัติดังกล่าว จะไม่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดความต้องการที่จะเปลี่ยนใจ ท่านและข้าพเจ้าสามารถบังคับบีบคั้นให้บุคคลใดมีความคิดเห็นสอดคล้องกับเราได้
ถ้าเราใช้วิธีสุภาพอ่อนโยนอย่างกันเอง เราจะสามารถ จูงใจเขาเหล่านั้นให้คล้อยตามแนวความคิดของเราได้
- ลินคอล์น กล่าว "น้ำผึ้งเพียงหยดเดียว จับแมลงวันได้มากกว่าน้ำบอระเพ็ด
1 แกลลอน"
เพราะฉะนั้น ถ้าท่านต้องการจูงใจผู้อื่นให้เห็น ดีเห็นชอบในวัตถุประสงค์ของท่าน สิ่งแรกที่สุดที่ท่านจะต้องปฏิบัติก็คือ
ทำให้เขาเชื่อถือว่าท่านเป็นมิตรสุจริตของเขา ด้วยเหตุนี้เองถ้าท่านจะใช้น้ำผึ้งสักหยดหนึ่งเหยาะลงในหัวใจของอีกฝ่ายหนึ่งให้ชื่นฉ่ำ
ซึ่งท่านจะพูดอะไรแก่เขาก็ตาม จะเป็นทางอันล้ำเลิศที่จะดึง เหตุผลของเขาให้หันมาสอดคล้องกับของท่าน
- ติดต่อฉันมิตร เห็นอกเห็นใจ และ ขอร้องในอาการยกย่อง
- ความสุภาพอ่อนโยน และไมตรีจิต จะต้องมีอิทธิฤทธิ์มากกว่าความฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด
และการใช้กำลังบังคับเสมอ
สรุป เมื่อท่านต้องการจูงใจให้ผู้อื่นคล้อยตามแนวความคิดของท่าน
กฎข้อที่ 4 :-
จงเริ่มต้นด้วยมิตรไมตรี
บทที่ 5
เคล็ดลับของโซเครตีส
- ในการสนทนากับผู้อื่น อย่าได้เริ่มต้นพูดในเรื่องที่ท่านไม่เห็นพ้องด้วย
แต่จงเริ่มต้นด้วยการเน้นคำพูดให้หนักแน่น และเน้นคำพูดนี้ อยู่ตลอดเวลาในสิ่งที่ท่านเห็นพ้องด้วย
- จงทำให้อีกฝ่ายหนึ่งพูด "ใช่" ,
"ใช่แล้ว",
"ครับ" , "ถูก"
, "ถูกแล้ว"
เมื่อเริ่มต้นการสนทนา ถ้าสามารถทำได้ จงอย่าให้อีกฝ่ายหนึ่ง กล่าวคำปฏิเสธ "ไม่ใช่"
, "เปล่า"
เป็นอันขาด
- ยิ่งเราสามารถทำให้อีกฝ่ายหนึ่งกล่าวคำพูดรับคำได้มากเท่าใดในการเปิดฉากการสนทนา
ย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จ จะชักจูงให้อีก ฝ่ายหนึ่งยอมตกลงใจตามจุดประสงค์ของเรามากยิ่งขึ้นเท่านั้น
- ในการเปิดฉากสนทนา พวกเรามักจะคิดถึงแต่ความยิ่งใหญ่ของตนเอง
ผลก็คือ ทำให้เกิดตั้งข้อเข้าหากันตั้งแต่แรกเริ่ม
- โซเครตีสจะตั้งคำถามชนิดที่แม้ศัตรูของเขาก็ต้องรับคำ
คำถามของเขาจะถูกอีกฝ่ายหนึ่งตอบว่า "ใช่" จนกระทั่งเขา ได้รับคำรับรองอย่าง
เหลือเฟือ ครั้นแล้วในที่สุด เขาจะตั้งคำถามประโยคสำคัญ ซึ่งปรปักษ์ของเขาแทบไม่รู้สึกตัว
ได้กล่าวรับรองทั้งๆก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีตั้งใจที่ จะยืนกรานปฏิเสธ
- สุภาษิตเก่าๆของจีน "ผู้ก้าวอย่างละมุนละไม
จะเดินได้ไกล"
สรุปกฎข้อที่ 5
จงทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง ตอบรับคำว่า "ครับ",
"ใช่", "ถูก"ฯลฯ
ในทันทีเมื่อเริ่มสนทนา
บทที่ 6
วิธีกำจัดความไม่สมหวัง
- ในบางครั้ง การปล่อยให้ผู้อื่นเป็นฝ่ายพูด จะนำประโยชน์อย่างล้ำค่ามาให้
- ผู้ประสบความสำเร็จเกือบทุกคน ชอบระลึกถึงการต่อสู้ดิ้นรนในอดีต
(ใช้ในเทคนิคการพูด สนทนากับผู้ที่มีความสำเร็จในชีวิต)
- มีความจริงอยู่ว่า มิตรสหายทั้งหลายของเราพอใจที่จะคุยกับเราถึงเรื่องความสำเร็จต่างๆของเขา
ยิ่งกว่าที่จะฟังเราโม้ถึงเรื่องของเรา
- "ถ้าท่านต้องการศัตรู จงเป็นคนเก่งกล้าสามารถเหนือกว่าเพื่อนของท่าน
แต่ถ้าท่านต้องการมิตร จงให้เพื่อนของท่าน เก่งกล้าสามารถ
เหนือไปกว่าท่าน" เพราะว่าเมื่อเพื่อนของเราเก่งกล้าสามารถเหนือกว่าเรา
เขาจะเกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญ แต่ถ้าเราเก่งกล้าสามารถเหนือ กว่าเขา เขาจะเกิดความรู้สึกต่ำต้อย
และก่อให้เกิดความอิจฉาริษยา
- ชาวเยอรมันมีสุภาษิตอยู่ประโยคหนึ่งว่า "ความปิติยินดีอย่างแท้จริงก็คือ
ความปิติยินดีซึ่งเราได้รับจากเคราะห์กรรมของผู้อื่น" แน่นอน เพื่อนบางคนของท่านอาจจะรู้สึกพอใจในเคราะห์กรรมของท่าน ยิ่งไปกว่าชัยชนะของท่านก็ได้
- เพราะฉะนั้น เราจง "อย่าฟุ้งซ่าน โอ้อวดในความสำเร็จของเรา"
แต่เรา "จงถ่อมตน" เอาไว้ถึงจะได้รับความนิยม ชมชอบอย่างแท้จริงจากผู้อื่น
- เราควรถ่อมตัวของเรา ทั้งนี้ก็เพราะเมื่อสรุปแล้วท่านและข้าพเจ้าก็ไม่วิเศษวิโสกว่ากัน
จากนี้ไปอีกหนึ่งศตวรรษ ท่านและ ข้าพเจ้าต่างจะ ไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ และจะไม่มีใครรู้จัก
ชีวิตเป็นของสั้นจนเกินไป เพราะฉะนั้น อย่าปล่อยให้ชีวิตอันสั้น ของเราสร้างความรำคาญแก่ผู้อื่น
ด้วยการคุยโอ้อวดถึงความสำเร็จขี้ปะติ๋วของเรา เราจงส่งเสริมให้ผู้อื่นคุยเสียบ้างเถิด
โปรดคิดดูให้ดี ท่านมิได้มีอะไรวิเศษมากมายที่จะคุย อวดโดยไม่รู้จักจบรู้จักสิ้นเสียที
ดังนั้น กฎข้อที่ 6
จงปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้พูดเป็นส่วนมาก
บทที่ 7
วิธีที่จะได้รับความร่วมมือ
- ท่านรู้สึกเลื่อมใสในความคิดที่ท่านค้นพบด้วยตนเองยิ่งไปกว่าความคิดซึ่งผู้อื่นค้นพบ
และใส่จานเงินยื่นส่งให้ท่านหรือเปล่า? ถ้าเช่นนั้นจริง
เป็นของแน่เหลือเกินที่ท่านจะต้องพยายามผลักดันความคิดของท่านให้คนอื่นรับไว้ ใช่ไหม?
มันจะไม่เป็นการฉลาดกว่าหรือถ้าเพียงแต่หารือความคิดของท่านกับอีกฝ่ายหนึ่ง
และให้อีกฝ่ายหนึ่งใคร่ครวญดูเพื่อการตัดสินใจของเขาเอง
- "การปรึกษาหารือ"
กับเขาถึงความปรารถนาของเขา จึงเป็นสิ่งที่ถูกใจเขาที่สุด
- การปรึกษาหารือกับผู้อื่น และเคารพต่อคำแนะนำนั้น จะได้รับผลอันงดงาม
- เมื่อ 25
ศตวรรษมาแล้ว เล่าจื๊อ นักปราชญ์จีนได้กล่าววาทะบางอย่างซึ่งควรจะนำมาปฏิบัติในปัจจุบัน
: "เหตุที่แม่น้ำลำคลอง และทะเลทั้งหลายสามารถจะต้อนรับสายน้ำหลายร้อยสายจากภูเขาได้เนื่องจากแม่น้ำลำคลองและทะเลเหล่านั้นอยู่ต่ำกว่าสายน้ำจากภูเขา
เพราะฉะนั้น แม่น้ำลำคลองและทะเลจึงเก่งเหนือไปกว่าสายน้ำจากภูเขา โดยที่สามารถรับกระแสน้ำทั้งหมดไว้ได้
ผู้ที่เฉลียวฉลาด ถ้าปรารถนาจะอยู่เหนือ ผู้อื่น ต้องถ่อมตนให้อยู่ต่ำกว่าผู้อื่น
ถ้าปรารถนาจะอยู่หน้าผู้อื่น จะต้องถ่อมตนให้อยู่หลังผู้อื่น แต่เขาจะไม่หยิ่งผยอง
และถือว่าตนเป็น ผู้ยิ่งใหญ่ แม้ว่าเขาจะมีบุญวาสนานำหน้าผู้อื่น เขาจะไม่อวดเด่นให้บาดใจผู้อื่น
ฉะนั้น กฎข้อที่ 7
จงทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง เกิดความรู้สึกว่าความคิดเป็นของเขา
บทที่ 8
สูตรซึ่งจะบันดาลผลมหัศจรรย์แก่ท่าน
- อย่าลืมว่าบุคคลใดก็ตาม อาจจะทำผิดอย่างไม่มีทางแก้ตัว
แต่บุคคลนั้นจะคิดว่าเขาไม่ผิดเลย ท่านจงอย่าปรักปรำลงโทษเขาผู้นั้น เพราะการ กระทำเช่นนั้น
คนโง่ทุกคนย่อมทำได้ ท่านจงพยายามเข้าใจเขาให้ถี่ถ้วน ถ่องแท้ เพราะการพยายามเข้าใจการกระทำของผู้ผิด
คนฉลาด คนมี น้ำอดน้ำทน และคนที่มีคุณสมบัติเป็นพิเศษเท่านั้น จึงจะสามารถปฏิบัติได้
- จงพยายามอย่างสุจริตใจที่จะสมมุติตัวท่านเป็นตัวของเขา
- ถ้าหากท่านจะบอกตนเองว่า "ถ้าฉันอยู่ในฐานะเดียวกับเขา
ฉันจะรู้สึกอย่างไร และจะปฏิบัติอย่างใร?" ท่านจะไม่เสียเวลาและเกิดโมโห
ในการที่จะต้องไปเอาใจใส่แก่สาเหตุต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดผลอันไม่พึงพอใจ และท่านจะสามารถเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับมนุษยสัมพันธ์
มากยิ่งขึ้น
- พรุ่งนี้ ก่อนท่านจะบอกใครสักคนว่าเขาทำในสิ่งที่ผิดๆ
ไม่ดีกว่าหรือถ้าท่านจะนั่งหลับตา และพยายามคำนึงถึงแง่คิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง เสียก่อน
ท่านจงตั้งคำถามแก่ตนเองว่า "ทำไม? เขาจึงต้องการทำเช่นนั้น"
จริงอยู่การปฏิบัตินี้อาจเปลืองเวลาบ้าง แต่จะเป็นการผูกมิตรและ
นำผลอันงดงามกว่ากันมาให้ และเป็นการหลีกเลี่ยง ไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่ง และทะเลาะเบาะแว้งกัน
- เพราะฉะนั้น ถ้าท่านต้องการเปลี่ยนใจผู้อื่น โดยไม่ให้เกิดความรู้สึกบาดหมาง
หรือก่อให้เกิดความขุ่นเคือง
กฎข้อที่ 8 มีดังนี้
จงพยายามอย่างสุจริตใจที่จะมองสิ่งต่างๆ ในแง่คิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง
บทที่ 9
สิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการ
- คาถาศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถหยุดการโต้เถียง ทำลายความรู้สึกโกรธเคือง
สร้างมิตรไมตรี และทำให้อีกฝ่ายหนึ่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ "ผมมิได้ โทษคุณเลยแม้แต่น้อยที่คุณรู้สึกเช่นนี้
ถ้าผมเป็นคุณ แน่นอนเหลือเกิน ผมจะต้องรู้สึกเหมือนอย่างคุณ เช่นเดียวกัน"
คำพูดเช่นนี้แม้แต่คนพาลเกเรอย่างร้ายกาจที่สุดก็จะเยือกเย็นลง
- ท่านอยู่ในฐานะใดก็ตาม ควรถือว่า มิได้เป็นเกียรติอันใหญ่โตเลย
และจำไว้ว่า คนที่ท่านติดต่อด้วย แม้จะเป็นคนขี้หงุดหงิด ฉุนเฉียว พูด ดันทุรัง และปราศจากเหตุผล
เขามิได้เป็นต่ำช้าสารเลวมากมายนักที่ต้องอยู่ในฐานะนั้น จงรู้สึกสลดใจต่อ มนุษย์ที่น่าสมเพชคนนั้น
จง สงสารเขา เห็นใจเขา
- "3 ใน 4
ของบุคคลที่ท่านพบปะ ล้วนแต่หิวกระหายที่จะได้รับความเห็นอกเห็นใจ จงให้มันแก่เขา แล้วเขาจะรักท่าน"
- ความเห็นอกเห็นใจ เป็นยาวิเศษที่จะบำบัดความเศร้าใจ
ฉะนั้น กฎข้อที่ 9
จงเห็นอกเห็นใจต่อความรู้สึกนึกคิด และความปรารถนาของอีกฝ่ายหนึ่ง
บทที่ 10
มนุษย์ทุกคนชอบการขอร้อง
- เพื่อให้บุคคลใดก็ตามเปลี่ยนใจของเขา จงขอร้องให้เขาเกิดความรู้สึกว่า
การปฏิบัตินั้นๆเป็นเจตนาดีงาม ยิ่งกว่าการปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง
- เมื่อเราไม่ต้องการให้ใครทำอะไรอย่างหนึ่ง จงขอร้องเขาด้วยการอ้างถึงเจตนาที่ดีงามกว่ากัน
อ้างถึงสิ่งที่เป็นสิ่ง ที่รักและเคารพ
- "ถ้ามีใครคิดที่จะโกงท่าน" จงพูดให้เขาเกิดความรู้สึกว่า
ท่านนับถือเขาในฐานะเขาเป็นคนสุจริต ซื่อตรง และยุติธรรม
ฉะนั้น กฎข้อที่ 10
จงขอร้องด้วยการพูดให้รู้สึกว่า เป็นเจตนาอันดีงามกว่ากัน
บทที่ 11
ภาพยนตร์ปฏิบัติเช่นนี้ วิทยุปฏิบัติเช่นนี้ ทำไมท่านจึงไม่ปฏิบัติตามบ้าง?
- เวลาที่ต้องการเสนออะไรบางอย่าง เพียงแต่กล่าวความจริงอย่างเดียวยังไม่พอ
การกล่าวความจริงต้องประกอบด้วย พูดให้ซาบซึ้ง เขย่า ความสนใจ และเกิดความรู้สึกเร้าใจ
ทั้งนี้ต้องอาศัยศิลปะแห่งการเชิญชวนอยู่มาก ภาพยนตร์ วิทยุ ปฏิบัติเช่นนี้ ถ้าต้องการให้มีผู้เอาใจใส่
ข้อเสนอของท่าน ท่านก็ต้องปฏิบัติเช่นนี้
ฉะนั้น กฎข้อที่ 11
จงแสดงความคิดเห็นของท่านให้เป็นที่เร้าใจ
บทที่ 12
เมื่อทำอย่างไรๆ ก็ไม่ได้ผล ลองใช้วิธีนี้ดูบ้าง
- วิธีที่จะผลิตงานได้มากๆ ก็คือ การ "กระตุ้นให้เกิดการแข่งขันกัน"
แต่ไม่ได้หมายถึงการแข่งขันอันโสมมและต้องทุ่มเทเงินทอง แต่หมายถึงกระตุ้นให้เกิดความปรารถนาที่จะเป็นคนเก่งกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง
- ความปรารถนาที่จะเก่งกว่า! การแข่งขัน! เป็นวิธีเดียวที่จะบันดาลผลอันแน่นอนในการหนุนให้มนุษย์เกิดความมานะ
- "การให้เงินเดือนอย่างเดียว ไม่สามารถจะได้คนดีไว้ใช้
ต้องให้มีการแข่งขัน"
- นั่นคือ สิ่งที่ผู้ได้รับความสำเร็จทุกคนชอบ : การแข่งขัน
การแข่งขันเป็นการเปิดโอกาสให้เขาแสดงความสามารถของเขา เปิดโอกาสให้ เขาพิสูจน์คุณค่าตัวของเขา
เพื่อไปสู่จุดหมายแห่งการเป็นคนเก่ง และชัยชนะ
ถ้าท่านต้องการจูงใจบุคคลอื่น บุคคลที่องอาจห้าวหาญ
บุคคลที่มีสมรรถภาพ ให้คล้อยตามแนวความคิดของท่าน
กฎข้อที่ 12 มีว่า
จงพูดท้าทาย
ตอนที่ 4 วิธีปฏิบัติ 9 ประการเพื่อเปลี่ยนแปลงผู้อื่น โดยไม่ให้มีความรู้สึกบาดหมางขุ่นเคือง
บทที่ 1
ถ้าท่านต้องการคอยจับผิด นั่นคือวิธีที่จะปิดฉาก
- การที่บุคคลใดก็ตาม ได้ยินในสิ่งที่ไม่รื่นหู หลังจากได้ฟังคำชมเชยในสิ่งที่ดีก่อน
จะช่วยให้บุคคลนั้นสามารถฟังได้ โดยไม่เกิดความรู้สึก ขุ่นเคืองแต่อย่างใด จงเริ่มสนทนาด้วยคำพูดยกย่องสรรเสริญอย่างสุจริตใจ
บทที่ 2
วิธีวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่ทำให้ผู้ใดเกลียด
- ตอนเที่ยงวันหนึ่ง ชารลส์ ชะวอบ เดินผ่านโรงถลุงเหล็กโรงหนึ่งของเขา
เขาได้มองเห็นคนงานกลุ่มหนึ่งกำลังสูบบุหรี่กัน เหนือหัวของ คนงานเหล่านั้นมีป้ายแขวนไว้ว่า
"ห้ามสูบบุหรี่" ท่านคิดว่าชะวอบชี้ที่ป้ายนั้นและพูด "อ่านหนังสือเป็นไหม?"
หรือเปล่า?
มิได้
ชะวอบมิได้ เป็นคนเช่นนั้น เขาเดินไปหาคนเหล่านั้น ควักซิการ์ส่งให้คนละมวน และพูด
"จะดีไม่น้อย ถ้าพวกคุณพากันไปสูบซิการ์นี้กันข้างนอก" คนงานเหล่านี้ตระหนักดีว่าชะวอบรู้ว่าเขาได้พากันฝ่าฝืนกฎ
เขาต่างพากันนึกชมเชยชะวอบไปตามๆกัน ชะวอบมิได้พูดถึงความผิดนี้เลย มิหนำซ้ำกลับกำนัลซิการ์แก่เขา
"ทั้งนี้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญ ถ้าท่านมีนายอย่างนี้ ท่านจะอดรักเขาได้ไหม?"
จงอย่าเตือนผู้อื่นอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาผิด
บทที่ 3
จงพูดถึงความผิดของท่านก่อน
- ท่านจะไม่รู้สึกขุ่นเคืองอย่างใดเลยในการที่จะฟังใครคนหนึ่งตำหนิติเตียนท่าน
ในเมื่อเขาผู้นั้นเริ่มพูดด้วยการยอมรับ อย่างอ่อนโยนว่า เขา,
ในทำนองเดียวกัน,
ไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปจากการกระทำผิดอย่างไม่มีที่ติเสียได้
ท่านจงพูดถึงความผิดของท่านก่อน แล้วจึงตำหนิติเตียนผู้อื่น
บทที่ 4
ไม่มีใครชอบรับคำสั่ง
- ควรให้โอกาสผู้ร่วมงานพินิจพิจารณางานด้วยตนเอง ให้ทำการศึกษาจากความผิดนานาประการเอาเอง
- เทคนี้ช่วยให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาได้รับความสะดวกในการแก้ไขความผิดพลาดของตน
เทคนิคนี้เป็นการให้เกียรติ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา และส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญ
ผลก็คือ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจะทำด้วยความปรารถนาร่วมมือ แทนที่จะเอาใจออกห่าง
จงขอความเห็น แทนการออกคำสั่งโดยตรง
บทที่ 5
จงกู้หน้าอีกฝ่ายหนึ่ง
- กู้หน้าของเขาไว้ !
มันเป็นสิ่งสำคัญ และสำคัญอย่างใหญ่หลวงทีเดียว ! พวกเราน้อยคนนักที่จะหยุดคิดถึงสิ่งนี้
! "เรามักจะขี่ม้า สวมเกือกมีตะปูแหลมคม ย่ำลงไปที่ความรู้สึกของผู้อื่น"
ด้วยการถือเอาแต่ใจของเราฝ่ายเดียว เช่น คอยจับผิด ขู่ตะคอก ดุว่าเด็ก หรือเสมียน
พนักงานต่อหน้าผู้อื่นโดยปราศจากความยั้งคิดว่าเป็นการทำให้ปวดร้าวชอกช้ำ แก่เกียรติของเขาอย่างไรบ้าง
! ในเมื่อเพียงแต่สงบจิตสงบใจ ใช้ความคิดสักประเดี๋ยวหนึ่ง ใช้วาจาที่ประหยัดถ้อยคำเพียงไม่กี่คำ
มีความเห็นใจในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่ง จะไม่ก่อให้เกิดความปวดร้าว ขุ่นเคืองแต่อย่างใดเลย
- แม้แต่บุคคลใหญ่โตที่โลกรู้จักดี ยังไม่ยอมเสียเวลาที่จะกำแหงในชัยชนะของเขา
จนไม่กู้หน้าผู้แพ้
จงกู้หน้าอีกฝ่ายหนึ่ง
บทที่ 6
วิธีกระตุ้นให้มนุษย์ก้าวไปสู่ความสำเร็จ
- ใช้การชมเชยแทนการด่าว่า "เราจะชมเชย แม้แต่ในสิ่งที่ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย"
ในการปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยเป็นกำลังดันให้อีกฝ่ายหนึ่ง ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นเป็นลำดับ
- เมื่อพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงผู้อื่น ถ้าท่านและข้าพเจ้าสนับสนุนกำลังใจบุคคลที่สัมพันธ์กับเรา
ด้วยการให้เขาสำนึกในคุณค่าแห่ง ความสามารถซึ่งซ่อนอยู่ในกายของเขา เราไม่เพียงแต่จะสามารถเปลี่ยนแปลงเขาเท่านั้น
หากเราจะเปลี่ยนรูปชีวิตของเขาทีเดียว
- ถ้าลองเปรียบเทียบดูว่า เราควรจะอยู่ในฐานะใด เราเพียงแต่เป็นคนครึ่งหลับครึ่งตื่นดีๆนี่เองเราได้ใช้ประโยชน์
ขุมทรัพย์แห่งร่างกาย และจิตใจของเราแต่ส่วนน้อยเท่านั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือหมายความว่า
มนุษย์เราต่างดำรงชีวิต อยู่ห่างไกลจากจุดหมายที่เราควรจะ ก้าวไปถึง มนุษย์เราต่างมีพลังอยู่นานาชนิด
พลังซึ่งเขามักจะล้มเหลวอยู่เสมอ ในอันที่จะใช้มันให้เป็นประโยชน์
จงยกย่องสรรเสริญผู้อื่น แม้เขาได้ทำสิ่งใดๆดีขึ้นเพียงเล็กน้อยและยกย่องทุกครั้งที่เขาทำ
สิ่งใดๆได้ดียิ่งขึ้น จง "เห็นพ้องด้วยน้ำใส ใจจริง และยกย่องชมเชยอย่างเต็มที่"
บทที่ 7
จงตั้งชื่อหมาให้เพราะ
- มนุษย์เราตามปกติธรรมดา จะจูงใจได้ง่ายดาย ถ้าเขานับถือท่าน
และท่านแสดงความเลื่อมใสต่อความ ปรารถนาบางประการของเขา
- ถ้าท่านต้องการให้บุคคลใด กระทำบางอย่างดีขึ้นกว่าเก่า
จงแสร้งทำเหมือนหนึ่งว่า เขามีคุณสมบัตินั้นอยู่แล้ว
- ถ้าท่านต้องการให้ใครก็ตามเป็นคนดีขึ้น จงอุปโหลกให้เขาเป็นคนดี
ซึ่งเขาจะพยายามอย่างสุดกำลังที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพูด ของท่าน ยิ่งกว่าจะทำให้ท่านได้พบเห็นความไม่ดีของเขา
- ถ้าท่านต้องการจะติดต่อกับคนขี้ฉ้อคดโกง มีทางเหมาะสมอยู่ทางเดียวเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงให้เขาทำตนเป็นคนดี
คือ ปฏิบัติต่อเขา ประหนึ่งเขาเป็นสุภาพชนผู้มีเกียรติ จงทึกทักเอาว่า เขาเป็นคนอยู่ในระดับปกติธรรมดาเหมือนมนุษย์อื่นทั้งหลาย
การปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ ซึ่งเขาจะแสดงกิริยาตอบโดยทำตนให้เป็นไปตามที่เขาได้รับการยกย่อง
และเขาจะรู้สึกภูมิใจที่มีผู้ไว้วางใจเขา
จงอุปโหลกผู้อื่นในสิ่งดีงาม
เพื่อเขาจะได้เป็นไปตามนั้น
บทที่ 8
จงทำให้ความผิดเป็นของง่ายที่จะแก้ไข
- การบอก เด็ก สามี ภรรยา เสมียนพนักงานว่าเขาโง่ หรือทึ่มในสิ่งโน้นสิ่งนี้
หรือเขาไม่มีพรสวรรค์ในงานนั้นๆ และที่เขาทำไปแล้วล้วนแต่ผิด แปลว่าท่านได้ทำลายโดยสิ้นเชิงต่อสิ่งที่กระตุ้นให้เขามีความพากเพียร
เพื่อทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น ท่านควรใช้เทคนิคตรงข้าม ท่านจงมี ใจกว้าง ด้วยการให้ความสนับสนุน
กำลังใจแก่เขา ท่านจงกระทำในสิ่งที่จะส่งเสริมให้เขา เห็นว่าเป็นของง่ายในการปฏิบัติสิ่งนั้นๆ
ท่านจง แสดงตนให้เขารู้สึกว่าท่านเลื่อมใสในความสามารถของเขา ความสามารถ ซึ่งเขามีแวว
แต่เขายังไม่ได้นำออกมาใช้ ผลก็คือ เขาจะพยายาม ปฏิบัติสิ่งนั้นๆ เพื่อเอาชนะมัน
แม้ต้องใช้เวลาตลอดคืนก็ตาม
จงใช้การสนับสนุนกำลังใจ จงทำให้ความผิดซึ่งท่านต้องการแก้ไข
ดูเป็นของง่ายที่จะแก้ไข จงทำให้สิ่งที่ท่านต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติ เป็นของง่ายที่จะปฏิบัติ
บทที่ 9
จงทำให้ผู้อื่นปฏิบัติตามที่ท่านต้องการ
- หลักสำคัญแห่งมนุษยสัมพันธ์ : จงทำให้ผู้อื่นมีความสุขที่จะกระทำในสิ่งที่ท่านเสนอแนะเขา
- มีชายคนหนึ่งสามารถปฏิเสธคำเชิญให้เป็นผู้พูดในงานต่างๆ
คำเชิญซึ่งมาจากมิตรสหายของเขา คำเชิญซึ่งมาจากบุคคลที่เขารู้สึกใน บุญคุณ แม้กระนั้นเขาสามารถทำให้ผู้ที่ถูกเขาปฏิเสธได้รับความพอใจในการปฏิเสธนั้น
เขาทำอย่างไรหรือท่าน? เขามิได้กล่าวแก้ตัวว่าเขา
มีธุระยุ่ง หรือมีเหตุติดข้องอย่างนั้นอย่างนี้ เขามิได้ทำเช่นนั้น เขาทำดังนี้
คือ หลังจากแสดงความยินดีที่ได้รับเชิญ และแสดงความเสียใจที่
เขาไม่มีความสามารถพอในการปฏิบัติตามตามคำเชิญนั้น เขาจะเสนอชื่อผู้อื่นให้พูดแทนเขา
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เขามิได้ทำให้ผู้เชิญเกิด ความรู้สึกเสียใจต่อคำปฏิเสธของเขาเลย
แม้แต่ขณะเดียว เขาทำให้ผู้เชิญคิดถึงอีกคนหนึ่ง เพื่อเชิญมาเป็นผู้พูดในทันทีทันใด
โดยเน้นความ น่าสนใจของบุคคลอื่น
- เทคนิคแห่งการให้อำนาจและตำแหน่ง ได้ปรากฎผลดีแก่นโปเลียนมาแล้ว
จงทำให้ผู้อื่นมีความสุขที่จะกระทำในสิ่งที่ท่านเสนอแนะแก่เขา
ตอนที่ 5 จดหมายซึ่งบันดาลผลมหัศจรรย์
- ใช้ "หลักจิตวิทยา" : "โปรดช่วยเหลือผม"
จงทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญ และเป็นการสร้างมิตรภาพขึ้น
- โปรดจำไว้ว่า เราทั้งหลายต่างกระหายที่จะได้รับความยกย่องนับถือ
และความเป็นคนสำคัญ ซึ่งเราจะยินดีทำเกือบทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งนี้ แต่ไม่มีใครต้องการความไม่สุจริตใจ
ไม่มีใครต้องการคำพูดประจบสอพลอ
ข้าพเจ้าขอย้ำ :- หลักการทั้งหลายที่สอนในหนังสือเล่มนี้
จะปฏิบัติได้ผล ก็ต่อเมื่อนำออกใช้ด้วยน้ำใส
ใจจริง ข้าพเจ้ามิได้สนับสนุนให้
ปฏิบัติด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมอย่างใดทั้งสิ้น สิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ล้วนแล้วแต่
เป็นวิธีที่จะนำท่านไปสู่วิถีชีวิตแบบใหม่
ตอนที่ 6 วิธีปฏิบัติ 7 ประการ เพื่อทำให้ชีวิตในครอบครัวของท่านมีความสุขยิ่งขึ้น
บทที่ 1
วิธีขุดหลุมฝังศพการแต่งงานของท่านอย่างแน่นอนและรวดเร็วที่สุด
- สิ่งทั้งหลายที่สามารถทำลายความรักให้แหลกลาญอย่างแน่นอน
ซึ่งเจ้าผีร้ายในนรกได้ประดิษฐขึ้น "ความจู้จี้เอาเรื่อง" เป็นสิ่งควรจะพึง
กลัวอย่างที่สุด มันไม่เคยล้มเหลวทำนองเดียวกับการกัดของงูเห่า มันจะทำลาย ทำให้ถึงตายเสมอ
ถ้าท่านต้องการรักษาชีวิตทางบ้านให้มีความสุข
กฎข้อที่ 1 มีดังนี้
อย่าเป็นคนจู้จี้ขี้เอาเรื่อง ขี้หึง
บทที่ 2
ความรักอันวัฒนาถาวร
- สิ่งแรกที่จะศึกษาในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น ก็คือ
อย่าแทรกแซงกับการหาความสุขในวิธีแปลกๆของเขา
- ความสำเร็จในการแต่งงาน เป็นเรื่องที่ไม่เพียงแต่การแสวงหาคู่ที่เหมาะสมเท่านั้น
หากผู้ที่จะเป็นคู่แต่งงาน จะต้องเป็นคนที่เหมาะสมด้วย
กฎที่ 2 มีดังนี้
อย่าพยายามเป็นเจ้าหัวใจคู่แต่งงานของท่าน
บทที่ 3
ถ้าท่านทำเช่นนี้ ท่านจะต้องคอยดูกำหนดเวลาเพื่อไปสู่การหย่าร้าง
- ทางไปสู่การหย่าร้าง ก็คือ "การตำหนิติเตียน"
การติเตียนอันไร้ประโยชน์ และการติเตียนซึ่งเป็นที่ร้าวรานใจ ถ้าท่านต้องการให้ชีวิตในครอบครัวของท่านมีความสุข
กฎที่ 3 มีดังนี้
อย่าตำหนิติเตียน
บทที่ 4
ทางที่จะเกิดผลอย่างรวดเร็ว เพื่อทำให้ทุกคนมีความสุข
จงให้คำยกย่องสรรเสริญด้วยความสุจริตใจ
บทที่ 5
สิ่งที่มีค่าสูงยิ่งสำหรับผู้หญิง
- ไม่ใช่ความรักดอกที่ทำให้วันเวลาของฉันทุกข์ทรมาน แต่มันมาจากความร้าวรานในสิ่งเล็กๆ
น้อยๆ
- "ข้าพเจ้าจะผ่านมาทางนี้เพียงครั้งเดียว เพราะฉะนั้น
สิ่งใดอันเป็นความดี ซึ่งข้าพเจ้าสามารถจะปฏิบัติได้ หรือสิ่งใดอันเป็นความกรุณา ซึ่งข้าพเจ้าสามารถจะให้แก่มนุษย์คนใดได้
ขอให้ข้าพเจ้าทำเสียแต่บัดนี้ ขออย่าให้ข้าพเจ้า รีรอช้า หรือเพิกเฉย เพราะข้าพเจ้าจะไม่ผ่านมา
ทางนี้อีกแล้ว"
กฎข้อที่ 5 มีดังนี้
"จงเอาใจใส่ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ"
บทที่ 6
ถ้าท่านต้องการมีความสุข จงอย่าละเลยสิ่งนี้
จงมีกิริยาวาจาสุภาพอ่อนโยน
บทที่ 7
อย่าเป็นคน "ไร้การศึกษาในการแต่งงาน"
- ความล้มเหลวในการแต่งงาน มักจะเนื่องมาจากสาเหตุ 4
ประการ คือ
1. มิได้ปรับปรุงกามารมณ์ให้เป็นที่พอใจต่อกัน
2. ความคิดเห็นขัดแย้งกันในการใช้เวลาพักผ่อนหย่อนใจ
3. การเงินฝืดเคือง
4. จิตใจ ร่างกาย หรืออารมณ์ผิดปกติ
จงอ่านหนังสือดีๆ เกี่ยวกับกามารมณ์ในการแต่งงาน
No comments:
Post a Comment