2013-10-14

"ระบอบทักษิณ" เป็นระบอบที่ยึดหลักสำคัญ 5 หลัก

"ระบอบทักษิณ" เป็นระบอบที่ยึดหลักสำคัญ 5 หลัก คือ

1. หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (Popular Sovereignty): ในหลักการข้อ นี้จะเป็นเรื่องของการให้ความสำคัญกับอำนาจอธิปไตยที่จะต้องเป็นของประชาชน เพื่อให้การปกครองเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง โดยประชาชนมีอำนาจในการเลือกผู้แทนที่จะเข้าไปปกครอง และรวมไปถึงอำนาจในการถอดถอนผู้แทนที่ตนเองเลือกเข้าไปอีกด้วย
2. หลักเสรีภาพ (Liberty): ในหลัก การข้อนี้จะเป็นการให้ความสำคัญกับเสรีภาพของประชาชน ซึ่งเสรีภาพเหล่านี้จะต้องมีการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดซึ่งกันและกัน อันจะนำไปสู่ความเสมอภาคของประชาชน

3. หลักความเสมอภาค (Equality): หลักการในข้อนี้ให้ความสำคัญกับความเสมอภาค ถึงแม้ว่ามนุษย์เราจะเกิดมามีความแตกต่างกัน แต่ความแตกต่างเหล่านี้เป็นเพียงความแตกต่างกันทางกายภาพ สำหรับความเสมอภาคในระบอบประชาธิปไตยนั้นจะให้ความสำคัญกับความเสมอภาคทาง โอกาส ซึ่งหมายถึงประชาชนจะมีโอกาสที่เท่ากันในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการศึกษา

4. หลักกฎหมาย (Rule of Law): หลักการในข้อนี้จะให้ความสำคัญกับ การบัญญัติกฎหมายที่คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชน โดยมีความชอบธรรม บังคับใช้กับประชาชนอย่างยุติธรรมมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันโดยไม่เลือก ปฏิบัติว่าจะใช้กับบุคคลใดหรือชนชั้นใด

5. หลักเสียงข้างมาก (Majority Rules): ปัจจุบันประชากรของรัฐแต่ละรัฐนั้นมีจำนวนมาก ซึ่งคงเป็นการยากที่จะให้ทุกคนในรัฐมีความคิดเห็นเหมือนกัน ดังนั้นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน จึงมีความจำเป็นต้องอาศัยหลักการเสียงข้างมาก เพราะเสียงเอกฉันท์คงจะเป็นไปได้ยาก ส่วนการใช้เสียงข้างมากแค่ไหนเป็นเกณฑ์นั้นขึ้นอยู่กับความสำคัญของปัญหา ถ้าสำคัญมากคงต้องใช้เสียงข้างมากที่มากกว่าครึ่งหนึ่ง อย่างก็ดีหลักการเสียงข้างมากนั้นก็ไม่อาจจะละเลยสิทธิของเสียงข้างน้อย (Minority Rights)ได้ ทั้งนี้จะต้องมีหลักประกันที่ให้ความคุ้มครองกับเสียงข้างน้อย เพื่อป้องให้ไม่ให้เสียงส่วนใหญ่กดขี่ข่มเหงเสียงส่วนน้อย

อ๊าว!..มันหลักการเดียวกันกับ "ระบอบประชาธิปไตย" นี่หว่า
แล้วถ้าพวกเราจะล้มระบอบทักษิณ ก็เท่ากับล้ม "ระบอบประชาธิปไตย" หล่ะซิ !!

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ระบอบทักษิณ คือระบอบที่ทำให้กลุ่มอำนาจเก่า ดูหมดคุณค่า หมดราคา ดูไร้ฝีมือไปในเวลาอันสั้น

เป็นระบอบที่ไม่ไล่คนไทยให้ออกพ้นแผ่นดินไทย  แต่ทำให้คนที่ไม่เคยมี กลับมีกินมีใช้  มีโอกาส มีความรู้ความกระจ่างในบ้านเมืองมากขึ้น จนทำให้กลุ่มคนที่มีเหลือกิน ดัดจริต เอาเปรียบมานาน กลัวว่าจะถูกตีเสมอ และทำให้โอกาสการเอาเปรียบจากคนกลุ่มที่เคยด้อยโอกาส  ของพวกตน ต้องลดน้อยลงไป

ซึ่งเป็นที่มาของความอิจฉา ริษยา และทำให้คนกลุ่มที่เคยได้เปรียบในสังคม ต้องดิ้นรนออกมาขัดขวาง โดยไม่สนว่าจะส่งผลให้เกิดความแตกแยกและล่มสลายในสังคมเพียงใด

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ระบอบทักษิน หมายถึงระบอบ ที่เข้าถึงประชาชน ที่กล้าพูดนโยบายที่ใครๆก็มองว่านโยบายเหล่านั้นจะไม่มีทางเป็นไปได้ และ ไม่คิดว่าจะมีวันเกิดขึ้นได้ในประเทศไทย สมัยพรรคไทยรักไทย ซึ้งนำโดย ดร.ทักษิน ย้อนกลับไปในสมัยนั้น ประเทศไทยอุดมไปด้วย พรรคการเมือง กลุ่มเล็ก กลุ่มน้อยหลายกลุ่ม หลายก๊ก กระจัดกระจาย มีชื่อพรรคที่บรรจงตั้งขึ้นให้สอดคล้องกับประเทศไทยมากมาย การเลือกตั้งครั้งหนึ่งหนึ่งจะมีพรรคให้เลือกกาไม่ต่ำกว่า 20พรรค แล้วแต่พรรคไหนจะพูดได้พูดดีหรือดีแต่พูด ชักจูงผู้คนให้คล้อยตามได้มากกว่า เลยกลายเป็นว่าเวลาพรรคไหนได้การเลือกจากประชาชนมากที่สุด อาจจะมาจาก พรรคนั้นพรรคนี้ รวมๆกันมา กลายเป็นว่ารัฐบาลก็จะมีคนจากพรรคอื่นเข้ารวมด้วยกลายเป็นรัฐบาลผสม

 ทักษิน มองว่าการกระจายตัวของพรรคต่างๆ อาจทำให้ประชาชน สับสน และเบื่อหน่าย ไม่มีความกระตือรือร้น ที่จะสนใจสิทธิประโยชน์ต่างๆของตน ที่พึงควรจะได้ (ในยุคของทักษินจึงเป็นยุคของการตื่นตัวในเรื่องของสิทธิประโยชน์เพื่อปากท้องและชีวิตเป็นอย่างมาก)และอีกอย่าง ทักษินมองว่ามีหลายพรรคทำให้เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ ควรเอาไปใช้ให้เกิดผลกับเกษตรกรชาวรากหญ้าให้ได้มากที่สุดน่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า และในยุคนั้นก็ได้ก่อกำเนิดคำขึ้นมาอีกหนึ่งคำก็คือ คำว่า "รากหญ้า" ซึ่งต่อมาคำนี้เคยได้ถูกพรรค ปชป .หยิบเอาไปโจมตีปลุกปั่นหลายครั้งว่าเป็นคำพูดเพื่อดูถูก ชาวนา ชาวไร่ เกษตรกร และคนจนๆทั้งหลาย เพื่อให้เกิดความเกลียดชั่งต่อทักษิน ทั้งๆทีไม่จริงเลยสักนิด ทักษินได้ชี้แจงให้เข้าใจว่า การที่เรียกพวกเขาเหล่านั้นดังทั้งหมดที่กล่าวมา เพราะมองว่าพวกเขาเหล่านั้น คือรากฐานของประเทศชาติ คือฟันเฟื่องและผู้พยุงและคือผู้ขับเคลือนเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริง เพราะทักษินมองว่า เขาเหล่านั้นเป็นกลุ่มคนกลุ่มใหญ๋ของประเทศ ชาวนาชาวไร่ในช่วงยุคนั้น ไม่เคยได้สนใจเลยว่าจะเรียกเขาว่าอะไรก็ช่าง ขอเพียงแค่ใส่ใจสนใจปากท้องของพวกเขาพวกเขาก็พอใจแล้ว

สิ่งแรกที่ทักษินเริ่มทำ และมองว่าควรต้องเร่งริเริ่มเลยก็คือ การรวบรวมพรรค เล็กพรรคน้อยให้มารวมเป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้มากที่สุด ( ยุคนั้น จึงมีการพูดคุยโจมตี ว่ามีการซื้อ สส กันมากที่สุด ) ยุคนั้นเป็นยุคที่ถือว่าเป็นช่วงเลือกข้างอย่างชัดเจน ซึ้ง พรรคเก่าแก่ ปชป ผู้ดีไฮโซ หน้าซื่อใจคด (ในสมัยนั้นชาวบ้านเขาจะให้ฉายาอย่างนี้ ) ซึ่งหมายถึง ชูภาพลักษณ์ว่าเป็นพรรคคนดี ซื้อสัตย์ แต่โครตโกงมหาโกง เพราะชาวบ้านจะมองว่า พอได้เป็นรัฐแล้วไม่เคยเห็นนโยบายอะไรที่พูดๆโฆษณาเอาไว้จะเป็นผลสำเร็จซักอย่าง และแล้วการก่อกำเนิดพรรคไทยรักไทย ก็เกิดขึ้น โดยการทำให้มีเหลือเพียงแค่2พรรคใหญ๋จากหลายสิบพรรคโดยทักษินได้แบบอย่างมาจากประเทศอเมริกา ซึงเมกาจะมีแค่สองพรรคใหญ่ คือ เดโมแครตและรีพับรีกัน  นโยบาลของทักษิน ส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปที่ต่างจังหวัด กลุ่มรากหญ่า เช่น 

สวัดิการชิวิตประกันความเจ็บป่วย 30 รักษาทุกโรค 
หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์
หนึ่งตำบลหนึ่งทุน
บ้านเอื้ออาทร ครูเอื้ออาทร มีแม้กระทั่ง นักบินเอื้ออาทร หมายถึงว่า เด็กต่างจังหวัดที่เรียนดีแต่อยากจน แต่ดันมีความฝันอยากเป็นครูเป็นนักบิน ก็เดินเข้ามาแจ้งความประสงค์เพื่อลองสอบกัยทางรัฐได้เลย รัฐสนับสนุน เพราะการอยากเป็นนักบินนั้น มันเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเด็กต่างจังหวัดที่มีครอบครัวจนๆ แต่ดันมีสมองที่ชาญฉลาดและเรียนเก่ง ทักษินจะไม่ยอมเสียทรัพยากรของชาติด้านบุคคลากรของชาติตรงนี้ไปอย่างแน่นอน 

เรื่องหวยใต้ดินยกขึ้นมาบนดิน มีการทำให้การซื้อหวยเป้นเรื่องถูกกฎหมาย และซื้อเลข สองตัวสามตัวได้ในราคาเพียงยี่สิบบาท ต่อหนึ่งใบซื้อแค่20บาทแต่เวลาถูกรัฐทักษินให้เป็น 10 20 ล้านหรือถึง100ล้านก็มี แค่ยี่สิบบาทนี้แหละมีคนเคยถูกมาแล้ว ไปเสริจดูได้ ซึ่งเป็นความหวังของคนจนที่มีเงินก็ซื้อและเสี่ยงได้ (พอยุค ปชป บอกว่าเป็นการมอมเมาประชาชน ควรต้องยุบไป )ดับความฝันคนจนสุดๆ

เอาแค่เรื่องแค่นี้ ยังไม่รวม นโยบายทำสงครามกับยาเสพติด และกำจัดผู้มีอิทธิพล ไม่ให้มีมาเฟียคุ้มวินเพื่อเรียกเก็บเงินที่ไม่เป็นธรรมกับวินมอไซด์ ให้วินแจ้งชื่อลงทะเบียนประกอบอาชีพโดยตรงกับรัฐเท่านั้น เหล่านี้ ชาวบ้านและประชาชนทุกคนในตอนนั้น มองว่านโยบายห่าอะไรวะ( ขอหยาบนะ เพราะพูดภาษาชาวบ้านจริงๆ) โม้ ขายฝัน มันทำไม่ได้หรอก ลุงป้าน้าอาปู่ย่าตายาย บางคนถึงกับบอกว่า อยู่มาทั้งชีวิตไม่เคยเห็นมันมี ไอ้นี้มันบ้า แต่ทุกคนก็แอบหวังอยู่ลึกๆ สุดท้ายปีพศ 2544 พรรคไทยรักไทยนำโดยทักษิน ก้ได้เป็นรัฐบาล ไม่ต้องพูดถึงนโยบายที่พูดมาที่พอจะนึกได้ ผลปรากฏชัดกระจ่างแจง ว่าทักษินทำได้จริงๆ และได้เป็นรัฐบาลถึง2สมัย แต่ก็ต้องถูกโค่นรัฐประหารในปี49 ที่มีการยึดธรรมเนียบ บุกสนามบินและปิดถนนเป็นเดือนๆ แต่ไม่มีคนผิด ศาลไทยไม่ลงโทษ ตอนรัฐประหาร ทักษินไม่ได้อยู่ประเทศไทย   พรรคไทยรักไทยถูกยุบ 111 สส ถูกกิดกันห้ามเล่นการเมือง ท่านสมัคร สุนทรเวช ท่าน สมชาย วงศ์สวัดิ นายกพรรคเพื่อไทยที่ถูกตั้งชื่อพรรคขึ้นใหม่ ก็ถูกบีบให้ออกอย่างไม่เป้นธรรม 

ท่าน สมัครถูกตัดสินให้จำคุกด้วยข้อหา ทำกับข้าวออกทีวี 4 ปีต่อมาดันมาบอกว่าคำตัดสินนั้นผิดพลาด แต่ท่านยังไม่ทันได้รับความเป้นธรรมก็ตายไปก่อนแล้ว ตายด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน เรายังไม่ทันรู้จักนายกคนนี้สักเท่าไร เคยเห็นแต่หน้า รู้สึกว่าท่านน่าจะเป็นคนคุยสนุกและพูดตรงไปตรงมา เคยเห็นในทีวี แกคุยโผ่งผ่างโฉ่งฉางกับนักข่าวมาก สนุกดี อาทิตย์ที่แล้วค้นหาเรื่องราวของท่าน เห็นรูปท่านเป็นรูปสุดท้ายก่อนท่านตายสองเดือน เราร้องให้เลย แค่อยากบอกท่านสมัครว่า ท่านพ้นมลทินแล้ว ศาลตัดสินผิดพลาด ท่านเป็นผู้บริสุทธ์ 

ส่วนนายก สมชาย ภาพทีเราฝั่งจำได้เลยก็คือ ภาพที่ท่านหนังรถตู้ไปสภา มีม็อบพันธมิตรมายืนโห่ฮาขับไล่ และข้างรองเท้าข้างหนึ่งไปโดนหัวท่านด้วย เป็นภาพอะไรที่ทุเรศทุรังกับพฤติกรรมของพันธมิตรมาก  จะบอกอย่างนะเราสมเพศทุเรศมาก ตอนปฎิวัติปี 49 ผู้คนแห่แหนออกมายืนดอกไม้ดอกกุหลาบเป้นกำลังใจให้ทหารที่ทำปฏิวัติ 

คนชนชั้นกลางหรือกลุ่มนายทุน ก็ไม่ค่อยชอบทักษินอยู่แล้วเพราะทักษินชอบอุ้มคนจน ไม่ค่อยสนใจคนรวย หรือคนชนชั้นกลางเท่าไร จึงเป็นที่เกลียดชัง ตอนนั้น พรรคเพื่อไทยเหมือนถูกโดดเดียว เหมือนเป็นหัวหลักหัว ตอ ไม่มีความหมายไม่อยู่ในสายตาในสภา น่าสงสารมาก สงสารพรรคที่ทำประโยชน์ให้กับประชาชนอย่างแท้จริง ช่วงปี50-51 จึงมีคำพูดหนึ่งขึ้นมาว่า สองมาตรฐาน แต่คำพูดนี้กลับเหมือนไม่มีตัวตน เหมือนควันเหมือนหมอกจางๆ เลือนลางและปลิวหายไป 

พอปี53 เกิดกลุ่มคนเสื้อแดงประท้วง เข้าประท้วงเพื่อต้องการให้มีการเลือกตั้ง เอาประชาธิปไตยที่ถูกปล้นไปหลายต่อหลายครั้งคืนมา  แกนนำเสื้อแดงติดคุก ผู้ชุมนุมติดคุก มีอนุมัติใช้กระสุนจริง แต่คนทำไม่ผิด เหมือนกับตอนปี 49 ยึดทำเนียบ บุกสนามบิน ปิดถนนมเป้นเดือนๆก็ไม่มีคนผิด พอมาปี 54 เพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งอย่างถล่มถลายทั้งที่ล้มลุกคลุกคลาน ฟันฟ่ามามาก 

ชูผู้หญิงขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค วัดใจประชาชนไปเลยว่า ถ้าเพื่อไทยได้ผู้หญิงจะได้เป็นนายกนะเอาไหม  โดยเพื่อไทยอยากลดปัญหาความขัดแย้ง จึงไม่ต้องการยกผู้ชายคนไหนเป็นหัวหน้าพรรค เพราะต้องการใช้บุคลิกนุ่มนวล และประนีประนอมของยิ่งลักษณ์ ชูขึ้นมาเพื่ออยากจะสือให้รู้ว่า เราอยากสันติ อย่าทำร้ายอะไรเพื่อไทยอีกเลย ซึ่งท่านยิ่งลักษณ์ก็ยังมือใหม่ในเรื่องการเมือง พูดถูกบ้างผิดบ้าง เงอะงะบ้าง มันก้เป้นเพียงแค่ธรรมชาติของความประหม่าของคนที่ไม่คุ้นชินกับบทบาทระดับชาตินี้มาก่อนอย่าสำเร็จความใคร่ทางจิตใจด้วยการแสดงออกทางถ้อยคำ วาจา เสียดสี หยาบคาย โยนให้คนหนึ่งรับ โดยก็ไม่ได้ย้อนดูตัวว่าโยนไปไม่ไกลไม่พ้นตัวเองสักเท่าไร ค่าแรงขั้นต่ำ 300 เงินเดือน ป.ตรี 15000 ทำได้อย่างที่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนๆในประเทศไทยเคยทำมาก่อน ไม่เห็นจะน่าแปลกใจเลย ทำไม่ถึงเลือกตั้งทีไรได้เป็น รัฐบาลทุกที เพราะประชาชนส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าเพื่อไทยทำได้ การันตรีจากผลงานในอดีต  มีใครอยากได้ค่าแรง 250 เงินเดือน ป.ตรี 9000 บ้างล่ะ ถ้ามี ก็ขอชม ว่าคุณเป็นพวก พออยู่พอกินจริงๆ 

ที่เขียนมาทั้งหมดอยากบอกว่า เขียนออกมาจากลำดับเหตุการ์ณที่อยุ่ในความทรงจำโดยไม่มีสคริป หรือหนังสือกางอะไร มันออกมาจากสอง ส่วนความจำล้วนๆจริงๆ ว่านี้แหละคือ ระบอบทักษินในความทรงจำ  ประเทศไทยไม่ต้องการคนเก่ง แม้แต่คนดีอย่างท่านปรีดีย์ พนมยงค์ ประเทศไทยยังไม่ต้องการ "พ่อกู นามระบือ ชื่อปรีดี แต่คนดี เมืองไทย ไม่ต้องการ"

No comments: