6 โมงเย็นกองทัพนักข่าวได้ถูกเชิญ มารวมตัวกันที่ถนนเลียบชายหาดเมืองพัทยา ตามหมายกำหนดการที่ทางเมืองพัทยา จะมีการตรวจจับผู้ค้า ผู้เสพ ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกชนิด ในซอย 6 ผมและเพื่อนก็เตรียมตัว เตรียมกล้อง เตรียมไมค์ กันพร้อมตั้งแต่บ่าย เพราะนับเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญ เพราะซอยหกเป็นซอยที่มีนักท่องเที่ยวมารวมตัวกันมาก ที่สุดอีกซอยหนึ่งของคนราตรี
แต่ผิดแผน เพราะพอผู้สื่อข่าวไปถึง ปรากฏว่าไม่มีเจ้าหน้าที่มาตรวจแต่อย่างใด สอบถามได้ความว่า มาตรวจก่อนที่นักข่าวจะมาถึงแล้ว เลยไม่รู้ว่าจับใครได้หรือเปล่า เพราะยังเป็นเวลากลางวัน ยิ่งมีการป่าวประกาศล่วงหน้าเช่นนี้ ผมคงจะรู้สึกประหลาดใจมาก หากจะมีใครถูกจับ และพวกเราก็คงมีข่าวให้วิจารณ์กันไปอีกนาน เพื่อน ๆ ผู้สื่อข่าวอื่น ๆ แยกย้ายกันกลับ ผมกับเพื่อนยืนเก้ ๆ กัง ๆ ชั่งใจว่าจะไปถ่ายรูปวิวสวย ๆ บนเขาพระตำหนัก หรือจะเตร็ดเตร่แถวนี้กันดี
ที่ ฟากน้ำทะเลทางทิศตะวันตก พระอาทิตย์ดวงกลมโตสีแดงเพลิง กำลังจะลาลับลงไปกับขอบน้ำเบื้องหน้า ลมทะเลพัดหวีดหวิว คลื่นน้ำซัดสาดกระทบฝั่งดังโครมคราม Sunset ที่เห็นวันนี้ มันเป็นสีเปรอะ ๆ เหมือนงานฝีมือของจิตรกรโนเนม โคตรขี้เกียจคนหนึ่ง
“ ไปฟัง Eric Clapton กันดีกว่าว่ะ” ผมเอ่ย ชวนเพื่อน “เฮ้ย..เอ็งเคยมาแถวนี้เหรอ” มันถามอย่างไม่ไว้ใจ
“ ไม่เคยโว้ยแต่กูรู้ว่ามึงได้ฟังแน่” ผม ยืนยันสั้น ๆ “มึงเดินให้มัน แมน ๆ หน่อย ไม่งั้นมึงอาจไม่ได้กลับบ้านนะเว้ย”
พัทยา ซอย 6 เป็นซอยเชื่อมต่อระหว่างถนนใจกลางเมืองกับชายทะเล ถนนสายนี้ไม่ยาวและใหญ่ นัก เป็นเพียงถนนแคบ ๆ ที่รถพอวิ่งสวนทางกันได้ ช่วงเวลากลางวันถนนสายนี้จะเงียบเหงาจนแทบจะร้าง ผู้คนเลยก็ว่าได้ แต่เมื่อความมืดเริ่มย่างกรายเข้ามาความคึกคักก็จะตามมา ด้วยว่าสองฟากฝั่ง ถนนเป็นบาร์เบียร์ที่เปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยว
“ทำไม ต้องเป็นแค่ซอยนี้วะ ทุก ๆ ซอยแถวนี้มันก็น่าจะเหมือน ๆ กัน” เพื่อนผมเอ่ยปากขึ้นเบา ๆ
“แต่ซอยนี้มีประวัติ โว๊ย ข้าอ่านบทความเกี่ยวกับซอยนี้มาเยอะมาก ฝรั่งยังเอาไปทำหนังเลย เอ็งมันไม่ชอบอ่านเลยตกข่าว” ผมด่ามัน
“เอ็ง มันประเภทสวาปามข้อมูล หัดสกรีนเรื่องที่อ่านซะมั่ง ฝรั่งมันก็ชอบเอาเรื่อง ชั่วร้าย ไปกระพือข่าว ทำให้ภาพพจน์บ้านเราเสียหาย เอ็งอย่าไปเชื่อมันมาก มันมา เที่ยวบ้านเราเอาเปรียบเราและด่าเราอีกบางทีเรื่องยาเสพติด ก็พวกมันนั่น แหละ ซื้อขายกันเอง คนไทยจน ๆ หรือ โง่ ๆ ก็เป็นเหยื่อมัน” เพื่อนผมร่ายยาว เออ..วันนี้มันพูดมีสาระแฮะ
พวกเราเรียกผู้หญิงบาร์คนหนึ่งมาเช็คบิล แต่ยังไม่ทันจะก้าวออกจากร้าน ผมก็เหลือบไปเห็นผู้ชาย เดินโซเซมากับหมาตัวหนึ่ง ผมตกใจจนหายเมา.. “เฮ้ย..!” ผมหลุดปากออกมาเสียงดังพอที่เขาจะหันมามอง เขายิ้มให้ผม ผมหลบตาเขาแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมอย่างหมดแรง
“เอ็งรู้จักเขาเหรอวะ” เพื่อนผมถามอย่างสงสัย
“เปล่า” ผมตอบสั้น ๆ
ผมกำลังมึนงงและครุ่นคิด เพื่อนผมมันส่ายหน้า แต่ก็ไม่พูดอะไร เราสั่งเบียร์ต่อ ผมเหลือบตามองผู้ชายคนนั้นเป็นระยะ เขานั่งอยู่ตรงมุมมืดของบาร์ มีหมาอยู่ข้าง ๆ เขา ไม่ได้สั่งดื่ม เหม่อมองไปทางทะเล ผมแอบเหลือบสายตาสังเกตเขาเป็นระยะๆ ห้านาทีต่อมาสายตาเราสบกันพอดี ผมมอง เห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นในสายตาของเขา ดูเหมือนเขาคงอยากจะมีเพื่อนคุย นั่นไงเขาลุกเดินมาทางผมแล้ว
“สบายดีใช่ไหม ปีเตอร์” ผมเอ่ยทัก พร้อมขยับเก้าอี้ให้เขา
“ดื่ม อะไรไหม” ผมถาม (เขายิ้มไม่ตอบ เพื่อนผมงงมาก ผมไม่รู้จะเริ่มบทสนทนายังไงดี พอดีกับเขาเอ่ยขึ้น)
“คุณ จะเรียกผมว่าปีเตอร์ก็ได้ เพราะคุณไม่ใช่คนแรกที่เรียกผมอย่างนี้” เขาพูดเบา ๆ
“ผมรู้ว่าเรามีเรื่องเยอะ แยะที่จะคุยกัน แต่วันนี้ ผมมีภารกิจที่ต้องทำ คุณคงรู้นะ” เขา มองมา ที่นัยน์ตาของผม ผมหลบตาเขาอย่างช้า ๆ พยักหน้าอย่างมึนงง เขาเดินจากไปพร้อมกับหมาตัวนั้น ทิ้งให้สมองของผมหมุนติ้ว เพื่อนผมเช็คบิลอีกครั้งหนึ่ง คืนนี้เราไม่ได้ทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวที่ดี ไม่ใช่ตากล้องมือโปร แต่ก็เป็น คืนที่ผมได้รู้จักซอย 6 อย่างแท้จริง ซอยหก ซอยโลกีย์ ซอยที่มีภูติผีปีศาจ.…ผมได้เจอคนที่ตายไปแล้วจริง ๆ…..
เราจากซอย 6 มาเมื่อเวลา เที่ยงคืนพอดี เพื่อนผมขับรถกลับบ้านโดยไม่พูดซักคำ เช่นเดียวกันผมที่นั่งเงียบมาตลอด ทาง ได้ยินแต่เสียงคำรามของเครื่องยนต์หกสูบ แข่งกับเสียงล้อตะกายถนน รถ จอดสนิทในโรงรถเมื่อเวลา เที่ยงคืน 7 นาที ก่อนเข้าห้องน้ำ ผมโยนแม็กกาซีนเล่มหนึ่งให้เพื่อน พร้อมกับบอกมันสั้น ๆ ว่า “ เอ็งอ่าน หน้า 87 จบแล้วค่อยมาคุยกัน” “ข้าเหนื่อยว่ะ บางทีเอ็งก็พูดถูก คนไทยจน ๆ และโง่ ๆ เสียเปรียบตลอด”
—————————- ปีเตอร์เป็นใคร ?———————————————————-
ปีเตอร์ชายชาวไทยวัย 30 ต้น ๆ เป็นผู้หนึ่ง ที่มายัง สถานที่นี้ทุกค่ำคืน ทุก ๆ วันเค้าจะเดินมาพร้อมกับเจ้าเพื่อนยากสี่ขาพันธุ์ทางลายดำขาวอีกหนึ่ง ตัว ที่ไหล่สะพายเอาไว้ด้วยถุงแป้งขนาดใหญ่หนึ่งใบ เดินเข้าเดินออกซอยนี้ อยู่ทั้งคืน เมื่อเดินผ่านถังขยะก็จะแวะดินเนอร์กันสองชีวิต คนหนึ่งหมา หนึ่ง บางครั้งเพื่อนคู่หูก็เกิดแตกคอกันในระหว่างบางมื้ออาหาร
“แฮ่!!!…” อ้ายเจ้าด่างแฮ่เข้าให้ เมื่อทั้งสองคุ้ยไปเจอลูกชิ้นไม้ใหญ่ไม้หนึ่งที่ทิ้งเอาไว้
“แฮ่!!!…”ปี เตอร์แฮ่เข้าบ้างพร้อมกับมืออันหยาบกร้านตบลงไปบนหัวของเจ้าด่างฉาดใหญ่ “นี่ แน่ หนอยแน่ ไอ้เจ้านี่ชักจะปีนเกลียวใหญ่แล้วนะมึง”
ปีเตอร์หยิบลูกชิ้นไม้นั้นมาแบ่งกันอย่างยุติธรรม ระหว่างหมากับคน แล้วก็เดินกันต่อ ระหว่างทางก็แวะทักกับคนหรือหมาที่คุ้นเคย ผู้หญิงบาร์ใจดีบางคนก็จะหาขนมหรือข้าวที่ตัวเองกินเหลือ ๆ เตรียมเอาไว้ให้ ไม่มีใครรู้แน่ว่าชายกระเซอะกระเซิงผมเผ้ารุงรังคนนี้มาจากไหน รู้แต่ว่าใคร ๆ พากันเรียกเค้าว่า “ปีเตอร์”
ที่มุมหนึ่งของหมู่บาร์เหล่านั้น อ้ายเปี๊ยกกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ เป็นจังหวะเดียวกับที่ปีเตอร์เดินเข้าไปใกล้มันพอดี “ลูกพี่ให้ใครเอาน้ำ อัดลมมาส่งให้ผม ๒ ลังตอนนี้ของขาดลูกค้ายังไม่ได้ของอีกตั้งหลายคน”
ขณะพูดจาส่งสัญญาณให้กับทางปลายสายอยู่นั้น มันเหลือบตาเห็นปีเตอร์ แต่ก็มิได้สนใจอะไรนัก มันเจรจาเรื่องส่งน้ำอัดลม กับทางปลายสายต่อ “น่าลูกพี่เอามาให้ผมก่อน เรื่องเงินงวดก่อน เดี๋ยวผมเอาไปเคลียร์ให ้ โธ่ผมไม่เบี้ยวหรอกครับเดี๋ยวผมไปเคลียร์ให้พรุ่งนี้เลย” อ้าย เปี๊ยก เป็นเด็กใหม่เพิ่งจะมาทำมาหากินในซอยนี้ได้ยังไม่ถึง ๓ เดือนดีนัก มันเป็นคนหน้าตาดีจึงไม่ต้องทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ผู้หญิงที่ทำ มาหากินอยู่ในซอยนี้ ต่างก็แย่งกันที่จะเอามันไปทำผัวชั่วคราวกันทั้งนั้น
วันนี้มีฝรั่งใจดีที่มาเที่ยวในซอยนี้เป็น ประจำ ซื้อข้าวผัดมาฝากปีเตอร์กับเจ้าสี่ขา เมื่อได้ข้าวผัดหนึ่งคนหนึ่ง หมาก็พากันเดินทะลุออกมาที่ชายหาด มาหามุมสงบนั่งเปิบข้าวกัน ไม่ว่าจะได้อะไรมาทั้งสองชีวิตจะต้องแบ่งเท่า ๆ กันเสมอ หลายปีมานี้ปีเตอร์ใช้ชีวิตอยู่ในซอยนี้ เดินเข้าเดินออกในยามค่ำคืน ผู้คนแถวนี้คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง
ปี เตอร์มองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่มันเป็น ไป แต่ละปีที่ผ่านมาผู้คนในซอนนี้มีมาไม่ค่อยจะซ้ำหน้า ผู้หญิงบางคนมา อยู่ซอยนี้ได้เพียงไม่กี่เดือน ก็ประสพความสำเร็จ ฝรั่งต่างชาติเอาไปเลี้ยงดูอุ้มชูอย่างดี บางคนไม่เคยกลับมาเหยียบซอยนี้อีกเลย บางคนกลับมาในฐานะที่เปลี่ยนไป วางตัวเป็นคุณนาย แทบจะปิดบาร์เลี้ยงเหล้าผู้คนทุกคนที่รู้จักเลยก็ว่า ได้ แต่บางคนก็ไม่ประสพความสำเร็จนัก ต้องซมซานกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งกัน ใหม่ ปีแรก ๆ ที่ปีเตอร์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของซอยนี้ ผู้คนต่างแปลกหน้าแปลกตา เคยมีอยู่ ครั้งหนึ่งเค้าเคยถูกกลุ่มวัยรุ่นค้ายารุมกระทืบ ด้วยข้อหาเป็นสายให้ ตำรวจ จนผู้หญิงบาร์เหล่านั้นทนดูไม่ได้ต้องรวมตัวกันออกมาห้ามปราม ตั้งแต่ นั้นมาอาการเสียสติของปีเตอร์ ก็เพิ่มมากขึ้นจนหลุดโลก เมื่อ ปีเตอร์จัดการกับข้าวผัดของตัวเองเสร็จ ก็หันไปมองที่เจ้าสี่ขาเพื่อนยาก เห็นมันกินไปเพียงนิดเดียวก็หยิบข้าวของมันมากินต่อพลางพูดว่า
“อ้ายด่างวันนี้เอ็งเป็นอะไรวะข้าวปลาไม่ยอมกิน มีให้กินก็กินไปเหอะอย่าเล่นตัวนักเลย” อ้ายเจ้าด่างเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ นอนมองเจ้านายของมันแล้วผงกหัวขึ้นเห่า “โฮ่ง!…โฮ่ง!…” แล้วมันก็นอนต่อ “อย่าเลือกนักเลยมึง ไม่มีหรอกสเต็กสตูน่ะ”
เมื่อ กินข้าวเสร็จหนึ่งหมาหนึ่งคน ก็ชวนกันออกเดินย้อนกลับเข้าไปในซอยใหม่ ซอยนี้ช่างแปลกนักกลางวันเงียบจนแทบจะร้างผู้คน แต่เมื่อยามราตรีมาถึงกลับคึกคักอย่างยิ่ง ลักษณะบาร์เบียร์ของที่นี่เป็น ลักษณะเปิดโล่ง เป็นเคาน์เตอร์รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 3 ยาว 6 เมตร พนักงานบริการจะอยู่ในช่องกลางของเคาน์เตอร์ ที่เจาะเอาไว้โดยให้แขกที่มา ใช้บริการล้อมรอบอยู่ภายนอก ในซอยนี้มีบาร์ลักษณะเดียวกันอยู่ติด ๆ กัน 25-30 บาร์ มันเป็นที่รวบรวมคนกลางคืน ไม่ว่าจะเป็น ผู้หญิง กระเทย แมงดา หรือแม้กระทั่งเด็กผู้ชายที่มาขายตัวให้กับฝรั่งโรคจิต
“น่าเปี๊ยก นะตัวเอง เอามาให้เค้าก่อนตัวนึง แล้วพรุ่งนี้เค้าค่อยเอาเงินมาให้ตัว เอง” ปีเตอร์เดินผ่านมาตรงนั้น เห็นอ้ายเปี๊ยกกับผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังต่อรองอะไร บางอย่างกันอยู่ ปีเตอร์เดินเข้าหาถัง ขยะในบริเวณนั้น ได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นพูดต่อ
“วันนี้ เค้ายังไม่ได้แขกเลย ถ้าเค้าได้แขกแล้ว เค้าจะกลับมานอนกับตัวเอง”
“อย่า มาพูดเลยมึงพูดอย่างนี้มากี่ครั้งแล้ว นี่มันของซื้อของขายนะ แล้วพรุ่งนี้กูก็ต้องเอาเงินไปจ่ายเค้าเหมือนกัน”
“แต่ชั้นก็เอาตัวชั้นเป็นของแถมให้เธอนะ ไม่ใช่ว่าชั้นขอติดเงินเธออย่าง เดียว”
“โอ๊ย!…กูไม่เอาแล้วน่า เบื่อ ไม่อยากนอนกับไม้กระดาน”
อ้ายเปี๊ยกพูดอย่าง เบื่อหน่าย มันพยายามเดินหนี แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังตามเซ้าซี้มันอยู่อย่างไม่ยอมปล่อย ให้หลุดมือ จนมันรำคาญ มากเข้าทนไม่ไหวจึงทั้งตบทั้งเตะจนหล่อนกองอยู่ตรงนั้น ก่อนจะ เดินจากไปมันโยนเศษเหลือเพียง 1 ใน 4 ของที่ผู้หญิงคนนั้นต้องการพลางกล่าวสำทับว่า “เอ้า เอาไป เดี๋ยวจะลงแดงตายห่าซะก่อน แต่พรุ่งนี้ก่อนเที่ยงต้องหาเงินที่ค้างเอาไว้มาให้ด้วย ไม่งั้น จะโดนมากกว่านี้”
ผู้หญิงคนนั้นซมซานลุกขึ้น ตาของหล่อนเหลือบไปเห็นปีเตอร์มองมาอยู่พอดี จึงแว๊ดออกไปว่า “มองอะไรไอ้บ้าไปเลยนะไม่ต้องมามองเลย” หล่อนเอื้อมมือหยิบเศษเดนที่ไอ้เปี๊ยกโยนให้ เดินโซเซเข้าไปในซอกหลืบของ ห้องน้ำด้านหลัง
ปีเตอร์มองหล่อนอย่างเฉยเมย แต่ในแววตากลับแตกต่างออก ไป ในนั้นมีทั้งความรันทด และ ความสงสารผสมปนเปกัน คืน นั้นก่อนที่เหล่าผีเสื้อราตรีจะแยกย้ายกันกลับบ้าน….
ไอ้ เปี๊ยกโดนหน่วยปราบปรามยาเสพติดรวบตัว พร้อมกับของกลางยาบ้าในตัวมันอีก 18 เม็ด รุ่งเช้าเฮียฮวดเจ้าของบาร์ในซอย 6 ก็โดนตำรวจยกกำลังเข้าค้นบ้าน จากการซัดทอดของไอ้เปี๊ยก ได้ยาเสพติดชนิด ต่าง ๆ อีกมากมาย ทุกชีวิตที่มีความสัมพันธ์กับซอย นี้ เหมือนกับเป็นวัฎจักรที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปทุกวัน เมื่อคืนหนึ่งหมดไปก็รอคืนใหม่มาเยือนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะมารวมตัวกันใช้ชีวิตกลือกกลั้วอยู่กับสังคมที่บุคคลภายนอก มองว่าโสมม
คืนนี้ก็เช่นกัน เกือบทุกชีวิตกลับมาเริ่มต้นวันใหม่ ตามทิศทางของแต่ละคน จะมีที่ขาดหายไปบ้างก็ไอ้เปี๊ยก เฮียฮวด แต่ที่ทำให้หลาย ๆ คนประหลาดใจ ก็คือ ปีเตอร์ ทุกทีจะต้องเห็นแกตั้งแต่ตะวันยังไม่ลับขอบฟ้า ตอนนี้สามทุ่มครึ่งแล้ว ยังไม่มีใครได้เห็นชายกระเซอะกระเซิงผมเผ้ารุงรัง กับเจ้าสี่ขาคู่ทุกคู่ยากเลย
สี่ทุ่มแล้วที่ร้านลาบส้มตำเล็ก ๆ ภายในซอยนั้น เหล่าผีเสื้อราตรีบางคน กำลังจัดการกับอาหารมื้อแรก ของวัน ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ที่โทรทัศน์ระบบ บอกรับสมาชิกกำลังเสนอข่าวอาชญากรรมของท้องถิ่นอยู่ หลังจากข่าวใหญ่ของไอ้เปี๊ยก และ เฮียฮวดจบลง ก็มีข่าวเล็ก ๆ ตบท้ายอีกหนึ่งข่าว
ในเนื้อข่าวนั้นบอกว่า พบศพชายคนหนึ่ง ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม อยู่ในซอกหลืบของตึกร้างในซอยเปลี่ยวแถวนาจอมเทียน ผู้หญิงคนหนึ่งจำได้ว่าเป็นปีเตอร์ หล่อนบอกกับเพื่อน ๆ ว่า เมื่อ ตอนเย็นหล่อนเห็นผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ลากตัวปีเตอร์ขึ้นรถ ไอ้เจ้าสี่ขาเพื่อนของเค้าเข้าไปช่วยเจ้านาย ยังโดนไม้หน้าสามหวดจนร่วงเลย หล่อนนึกว่าเป็นญาติที่มาเอาตัวเค้ากลับบ้านจึงไม่ได้สนใจมาก นัก 15 นาฬิกาของ 7 วันต่อมา ณ เมรุหลวงวัดมหาธาตุ ที่บนเมรุนั้นตั้งเอาไว้ด้วยหีบศพที่คลุมด้วยธงชาติอย่างสมเกียรติ รอบบริเวณตกแต่งด้วยดอกไม้แห้ง ดอกไม้สดอย่างงามหรูวิจิตรงดงามตา ที่เหนือ โลงศพมีภาพถ่ายของชายคนหนึ่ง ตัดผมเกรียนหน้าตาเกลี้ยงเ กลา แววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ที่แทบไม่มีวี่แววว่าจะเป็นคนบ้า กระเซอะกระเซิงผมเผ้ารุงรัง
ที่ หน้าปะรำพิธี มีหญิงชราคนหนึ่งนั่งน้ำตาซึม แต่ไม่มีเสียงสะอึกสะอื้นเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน ด้านซ้ายของเธอเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ด้านขวาเป็นฝรั่งชาวต่างชาติที่เคยมีน้ำใจหยิบยื่นอาหารให้กับคนบ้าในพัทยา ซอย 6 บ่อย ๆ ในมือของฝรั่งเจ้าหน้าที่หน่วยปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐคนนั้น มีสายจูง สุนัขพันธุ์ทางสีขาวดำที่ขาของสุนัขตัวนั้นพันเอาไว้ด้วยผ้าพันแผล
“ปี เตอร์เค้าไม่มีครอบครัวหรือครับคุณแม่” ฝรั่งคนนั้นเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นด้วยสำเนียงของฝรั่งที่พูดไทยได้ดีพอ สมควร
“แม่ก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเค้ามากนักหรอกค่ะ รู้แต่ว่าหลังจากจบจากโรงเรียนพลตำรวจแล้วเค้าคบหาอยู่กับผู้หญิงคน หนึ่ง แต่หลังจากผู้หญิงคนนั้นเสียชีวิตจากการถูกวัยรุ่นติดยาในพัทยาฆ่าตาย เมื่อคราวไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ลูกของแม่ก็ลาออกจากตำรวจแล้วหายออกจากบ้านไป ส่งมาแต่เงิน กับ โทรศัพท์มาหาแม่อาทิตย์ละครั้งเท่านั้น เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วก่อนเกิดเรื่องยังโทรฯมาบอกว่าสิ้นปีนี้ จะกลับมาอยู่กับแม่แล้วจะไม่ไปไหนอีกแล้ว”
เมื่อ หญิงชรากล่าวจบ บรรยากาศโดยรอบตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เธอยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาที่ไหลลงอาบสองร่องแก้ม นายฝรั่งของปีเตอร์ พยายามเบือนหน้าหนีเก็บซ่อนน้ำตาเอาไว้ เจ้าสี่ขาลายขาวดำนอนหมอบนิ่งสงบไม่ไหวติง กลุ่มควันไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้อง ฟ้า เป็นเสมือนหนึ่งสัญญาณลาจากของชีวิตอีกหนึ่งชีวิต ที่ทุ่มเทให้กับ สังคมที่ผู้คนหลงมัวเมากับสิ่งหลอกลวงต่าง ๆ หญิงชราเดินขึ้นไปรับกรอบรูป พร้อมกับกระถางธูปที่เจ้าหน้าที่ส่งมา ให้ ปากก็กล่าวกับรูปของลูกชายว่า
“กลับ บ้านเรากันนะลูก กลับไปพักผ่อนอยู่กับแม่นะ” หญิงชรากล่าวจบเจ้าสี่ขาก็เห่าขึ้นพร้อมกับแสดงท่าทางดีใจเหมือนกับได้เห็น เจ้านายของมันอีกครั้งหนึ่ง
เขียนโดย………หมา ใหญ่/รถถัง