2013-10-29

คำคมมังกร

ร่างกาย


เธอที่รัก โปรดหยุดคิดเพียงชั่วครู่ในเรื่องนี้กันบ้างเถิด ตัวเธอได้เข้ามาในร่างกายร่างนี้เพื่ออะไร?
เราขอบอกกับเธอว่า แท้ที่จริงแล้ว เธอได้เข้ามาในร่างกายร่างนี้เพื่อตระหนักใน พุทธภาวะ หรือ ความเป็นพระเจ้า ที่ตัวเธอมี ตัวเธอเป็น


ร่างกายนี้ของเธอเป็นรังไหมดิบที่ตัวเธอได้ปั่นขึ้นมาพันห่อหุ้มตัวเธอด้วยวัตถุดิบที่เป็นกิเลสและความอยาก ที่เกิดจากการถูกกระตุ้นเร้าของตัวเธอเองต่างหาก อย่างไรก็ดี เธอจะต้องใช้มัน! จงใช้ร่างกายร่างนี้ของเธอให้ดีที่สุด ตราบเท่าที่มันยังใช้งานได้ เพื่อให้ปีกของเธอ เจริญเติบโตแข็งแรงมากพอที่ตัวเธอจะสามารถ บิน หนีออกจากร่างกายที่จองจำเธออยู่นี้ไปได้


เธอที่รัก เมื่อตัวเธอลงมาเกิดบนโลกนี้ เธอร้องไห้จ้า นั่นเท่ากับเป็นการประกาศว่า ตัวเธอมีความเศร้าโศกที่ต้องมาเกิดอีก อะไรคือสาเหตุของความเศร้าโศกอันนี้ของตัวเธอ? นั่นเป็นเพราะว่า การที่เธอต้องลงมาเกิดและเข้ามาอยู่ในร่างกายนี้ ตัวเธอจำต้องสูญเสียพันธะ เยื่อใยที่ผูกพันกับสิ่งสูงสุดไป อย่างน้อยก็ในช่วงที่ตัวเธอยังไม่ "ตื่น" ในทางจิตวิญญาณ แต่ต่อให้ตัวเธอลงมาเกิดพร้อมกับความเศร้าโศกอันนั้น เราขอให้เธอมีความเด็ดเดี่ยว มีความปักใจแน่วแน่ที่จะไม่นำเอาความเศร้าโศกติดไปกับตัวเธออีก ยามเมื่อเธอต้องจากโลกนี้ไปอีกครั้งเธอพึงขจัดความเศร้าโศกให้หมดไปในชั่วชีวิตนี้ของเธอให้จงได้







เคล็ดลับของความสำเร็จ


เธอที่รัก หากความล้มเหลวของเธอ เกิดจากความไร้สมรรถภาพของเธอ ที่จะบรรลุเป้าหมายในชีวิตของเธอเอง ขอให้เธอท่อง "คาถา" นี้ในใจ และด้วยเสียงอันดังอยู่เสมอ…….. ถึงแม้เธอจะไม่มีคุณสมบัติอื่น เธอก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ ด้วยคุณสมบัติต่อไปนี้ แต่ถ้าไม่มีคุณสมบัติอันนี้ ต่อให้เธอครอบครองความรู้ความเชี่ยวชาญมากแค่ไหน เธอก็จะล้มเหลว


วันนี้ ฉันจะวิสาสะกับทุกคนด้วยความรักจากใจจริง เพราะนี่เป็นเคล็ดลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับความสำเร็จในกิจทั้งปวง พลังกล้ามเนี้ออาจจะฉีกเสื้อเกราะได้ หรืออาจทำลายชีวิตได้ จะมีก็แต่พลังแห่งความรัก ที่มองไม่เห็นตัวตนอันนี้เท่านั้นที่จะสามารถเปิดหัวใจของผู้คนทั้งหลายได้ ฉันจะใช้ความรักนี้ เป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของฉัน และจะไม่มีใครที่จะต้านทานพลังของมันได้


เหตุผลของฉัน พวกเขาอาจจะโต้แย้ง คำพูดของฉัน พวกเขาอาจจะไม่เชื่อถือ การแต่งกายของฉัน พวกเขาอาจจะไม่ยอมรับ ใบหน้าของฉัน พวกเขาอาจจะปฏิเสธ แต่ความรักของฉันจะหลอมละลายหัวใจของพวกเขา ดุจพระอาทิตย์ที่ใช้แสงของมันสร้างความอ่อนนุ่มให้กับพื้นดินที่เย็นชืด


วันนี้ ฉันจะวิสาสะกับทุกคนด้วยความรักจากใจจริง และฉันจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ฉันจะมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยสายตาแห่งความรัก และฉันจะเกิดใหม่อีกครั้ง
ฉันจะรักดวงอาทิตย์ เพราะมันให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายฉัน
แต่ฉันก็จะรักสายฝน เพราะมันช่วยชำระล้างจิตใจฉันให้สะอาด
ฉันจะรักแสงสว่าง เพราะมันช่วยส่องทางให้กับฉัน
แต่ฉันก็จะรักความมืด เพราะมันทำให้ฉันมองเห็นดวงดาว
ฉันจะต้องรับความสุข เพราะมันทำให้หัวใจของฉันพองโต
แต่ฉันจะอดทนต่อความเศร้าโศก เพราะมันจะช่วยเปิดดวงวิญญาณของฉัน
ฉันจะยอมรับรางวัลสิ่งตอบแทน เพราะมันเป็นสิ่งที่ฉันสมควรได้รับ
แต่ฉันก็จะต้อนรับอุปสรรค เพราะมันเป็นสิงที่ท้าทายฉัน
เหนือสิ่งใด ฉันจะรักตัวฉันเอง เมื่อฉันทำอะไร ฉันจะตรวจสอบอย่างจริงจัง ในทุกสิ่งทุกอย่างที่จะย่างกรายเข้ามาสู่ร่างกายของฉัน จิตใจของฉัน วิญญาณของฉัน และดวงใจของฉัน ฉันจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับคำเรียกร้องของกิเลสในตัวฉัน


แต่ฉันจะดูแลเอาใจใส่ร่างกายของฉันเป็นอย่างดี ให้สะอาด และสมถะอยู่เสมอ ฉันจะไม่ยอมให้จิตใจของฉันหลงติดอยู่กับความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง แต่ฉันจะยกระดับจิตใจของฉันให้สูงขึ้น ด้วยความรู้และปัญญาของคนรุ่นก่อน ฉันจะไม่ยินยอมให้วิญญาณของฉันหลงลืมตัว และพอใจในตนเอง แต่ฉันจะบ่มเลี้ยงมันด้วยการฝึกสมาธิและการสวดมนต์ภาวนา ฉันจะไม่อนุญาตให้หัวใจของฉันคับแคบลง และเต็มไปด้วยความขมขื่น แต่ฉันจะแชร์ดวงใจของฉันร่วมกับคนอื่นและให้มันเติบโตขึ้น และสร้างความอบอุ่นให้กับโลก





ความรักอันสูงส่งของนักรบ


เธอที่รัก โปรดรู้ไว้ด้วยเถิดว่า "คนเราควรมีชีวิตอยู่โดยใช้เวลาส่วนใหญ่ เพื่อการฝึกฝนตนเองให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป" และในระหว่างที่ตนเองยังฝึกฝนตนเองอยู่ หรือยังไม่พร้อม เธอก็ควรที่จะรู้จัก "เก็บรัก" เอาไว้ในใจของเธอ เพื่อมิให้อารมณ์รักนั้น กลายมาเป็นอุปสรรคต่อการฝึกฝนตนเองของเธอ


ความรักอันสูงส่งของนักรบนั้นคือ ความรักที่เราปกปิด เก็บเอาไว้เป็นความลับของตนเอง หากเราเปิดเผยความรักออกไปเมื่อได ไม่เพียงแต่มันจะไปบั่นทอนการฝึกฝนตนเองของเราเท่านั้น แต่มันจะทำให้ความรักนั้นค่อย ๆ ไร้ความหมายไปด้วย
การมีความรักอยู่ในใจตลอดวัน ตลอดปี และถ้าเป็นไปได้ให้เราตายไปพร้อม ๆ กับความรักนั้น โดยอาจมิจำเป็นต้องเอ่ยอ้างชื่อของผู้ที่ตนรักให้โลกรับทราบเลยคือ ความหมายของความรักอันสุดยอดแท้จริงและเป็นอมตะของนักรบ ผู้ที่มีความรักเช่นนี้ จะเป็นผู้ที่มี "พลัง" อย่างใหญ่หลวง


เธอที่รักโปรดรู้ไว้ด้วยเถิดว่า ความรักมิใช่อารมณ์รัญจวนของคนคนหนึ่งที่ถูกทำให้เคลิบเคลิ้มโดยใครบางคน แต่อย่างใดเลย ถ้าเธอคิดเช่นนั้น ความพยายามใด ๆ ทั้งปวงของเธอเพื่อ "ความรัก" ที่ไม่ใช่ของแท้เช่นนี้ย่อมล้มเหลวแน่ ๆ


เธอจะไม่มีทางเข้าถึงความรักที่แท้จริงและประสบความสำเร็จในความรักได้เลย หากตัวเธอไม่พยายามอย่างจริงจัง ที่จะพัฒนาบุคลิกภาพของเธออย่างรอบด้านเสียก่อน
เธอจะไม่มีวันได้รับความพึงพอใจในความรักแห่งปัจเจกเลย
ถ้าหากเธอไม่มีความสามารถที่จะรักคนรอบข้างเธอ ถ้าหากเธอไม่มีความถ่อมตน ความกล้าหาญ ศรัทธา และวินัยอย่างแท้จริง


กล่าวโดยถึงที่สุดแล้ว การมีความรักอันสูงส่งได้ เป็นผลมาจากการพัฒนาจิตวิญญาณของผู้นั้นในระดับที่สูงมากแล้วนั่นเอง และนี่เป็นคำสอนที่สำคัญมากเหลือเกินใน "ปัญญาอมตะ"





การควบคุมอารมณ์ตนเองให้ได้


วันนี้ ฉันจะควบคุมอารมณ์ตนเองให้ได้ กระแสน้ำมีขึ้นมีลง ฤดูหนาวไปแล้ว ฤดูร้อนมาอีก ฤดูร้อนเหือดหาย ความเยือกเย็นกลับย่างกราย พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ลาลับ พระจันทร์เต็มดวง พระจันทร์มืดมิด นกบินมา นกจากไป ดอกไม้เบ่งบาน ดอกไม้เฉาโรย เมล็ดพืชถูกหว่าน ไร่นาถูกเก็บเกี่ยว
เธอไม่เห็นรึว่า ธรรมชาติทั้งปวง ล้วนเป็นวัฏจักรแห่งอารมณ์? ตัวเธอก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ อารมณ์ของเธอย่อมมีขึ้นมีลงดุจสายน้ำ เพราะฉะนั้น เธอจึงต้องควบคุมอารมณ์ของเธอให้ได้ ดุจการควบคุมสายน้ำ เพื่อใช้ในการสร้างสรรค์ไม่ใช่เพื่อการทำลายล้าง


วันนี้ ฉันจะควบคุมอารมณ์ตนเองให้ได้ มันเป็นการเล่นกลอย่างหนึ่งของธรรมชาติ และ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากว่า ทำไมแต่ละวัน เมื่อฉันตื่นขึ้นมาจึงมีอารมณ์ที่เปลี่ยนไปจากเมื่อวานนี้ ? ความร่าเริงสุขสันต์ของเมื่อวานนี้ อาจกลายเป็นความเศร้าสลดในวันนี้? และความโศกสลดของวันนี้ อาจกลับกลายเป็นความชื่นบานในวันรุ่งขึ้น ราวกับว่าภายในตัวฉันนี้ มีกงจักรอันใหญ่ ที่หมุนเวียนอย่างสม่ำเสมอ จากความเศร้าไปสู่ความชื่นบาน จากความลิงโลดไปสู่ความซึกทุกข์ จากความสุขไปสู่ความว้าเหว่ ดุจดอกไม้ที่วันนี้อาจจะเบ่งบานด้วยความสดชื่น แต่จะเหี่ยวเฉาร่วงโรยในเวลาต่อมา


เธอไม่เห็นริว่า ถ้าอารมณ์ของเธอไม่ดี วันนั้น จะเป็นวันแห่งความล้มเหลวของตัวเธอ ต้นไม้ต้องพึ่งพาภาวะอากาศเพื่อให้เจริญงอกงามฉันใด ตัวเธอก็ต้องสร้าง "บรรยากาศ" ของเธอขึ้นมาเอง และพกมันติดตัวไปกับเธอตลอดเวลาฉันนั้น


เราขอถ่ายทอด เคล็ดลับในการควบคุมอารมณ์ตนเอง ของคนรุ่นก่อนให้แก่เธอ ดังนี้
"ความอ่อนแอจักเป็นของผู้ที่ยอมให้ความคิดของตนมาควบคุมการกระทำของตน แต่ความเข้มแข็งจักเป็นของผู้ที่ใช้การกระทำของตนไปควบคุมความคิดของตนเอง!"


เธอจะต้องควบคุมอารมณ์ตนเองให้ได้ และด้วยความรู้ใหม่ที่เธอได้รับจาก "ปัญญาอมตะ" นี้ เธอจะเข้าใจและยอมรับอารมณ์ของผู้คนที่เธอได้วิสาสะด้วย เธอจะอโหสิให้แก่ความโกรธและโทสะของเขาในวันนี้ เพราะเธอรู้ว่า เขาไม่รู้เคล็ดลับในการควบคุมจิตใจของเขาเอง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เธอจงเตรียมตัวมีสติที่จะควบคุมการผันแปรในบุคลิกภาพของเธอที่จะเกิดขึ้นในแต่ละวัน เธอจะควบคุมอารมณ์ของเธอ โดยผ่านการกระทำที่สร้างสรรค์ และเมื่อเธอควบคุมอารมณ์ของเธอได้ เธอก็จะลิขิตชะตาชีวิตของตัวเธอได้





ตื่นเถิด


เธอที่รัก เธอเคยตระหนักบ้างหรือเปล่าว่า เธอสักแต่มาโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย หรือมาทำงานดุจเครื่องจักรกลที่ถูกกำหนดโปรแกรมเอาไว้เท่านั้น เธอหาได้เคยมาครุ่นคิดถึงเป้าหมายที่แท้จริงของการเรียนรู้และการมีชีวิตอยู่ไม่


เธอที่รัก ในแต่ละวัน สมองของเธอได้รับข่าวสารเข้าไปมากมายแต่เธอเคยหยุดคิดบ้างหรือเปล่าว่า ข่าวสารเป็นจำนวนมากที่เธอได้รับมานั้น มันเพื่ออะไร และมีจุดประสงค์เช่นใด?

ทำไมเธอถึงต้องดิ้นรนยัดเยียดข่าวสารใส่ตัวมากมายขนาดนั้น มันจะได้ประโยชน์ที่แท้จริงประการใดแก่เธอ?


ก่อนอื่น เธอต้องหัดตั้งคำถามแก่ตัวเองว่า ตัวเธอมาอยู่ที่นี่บนโลกนี้ทำไม มาทำอะไร และด้วยมูลเหตุจูงใจที่แท้จริงเยี่ยงใด?
ใช่หรือไม่ว่า ผู้คนส่วนใหญ่ ต่างก็มีชีวิตอยู่ในสภาพที่หลับไหลกันทั้งนั้น พวกเธอคิดแค่ขอให้เรียนจบ คิดแค่ขอให้มีความก้าวหน้าในอาชีพการงาน พวกเธอมีความใฝ่ฝันมากมายในชีวิต โดยที่พวกเธออาจจะยังไม่เคยรู้จัก "ความจริง" และไม่เคยเข้าใจถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของการเรียนรู้ศาสตร์ต่าง ๆ ที่เป็น "ปัญญาอมตะ" เลยก็เป็นได้


เอาเข้าจริง ๆ แล้ว พวกเธอเคยเฉลียวใจบ้างไหมว่า สิ่งที่พวกเธอใฝ่ฝันเอาไว้ทั้งปวงในสมองของพวกเธอนั้น มันอาจจะเป็นแค่ "ฝันกลางวัน" เท่านั้นก็เป็นได้ เพราะพวกเธอแทบทั้งหมดไม่มีทางรู้ได้ว่า "อนาคต" ที่แท้จริงของพวกเธอนั้น จะเป็นเช่นใดกันแน่ พวกเธอไม่มีทางทราบได้หรอกว่า "ความตาย" จะมารอพวกเธอเมื่อไหร่ เมื่อพวกเธอมีอายุเท่าใด


ถึงเวลาแล้วล่ะ ที่จะเลิกฝันเฟื่องเสียที จงตื่นเถิด จงปลุกจิตสำนึกของตัวเองให้ตื่นเถิด โดยเริ่มจากที่บ้าน ที่โรงเรียน และที่ทำงาน แต่การที่พวกเธอจะตื่นขึ้นมาจริง ๆ ได้ หรือมีความอยาก ความกระตือรือร้นที่จะคิดด้วยตัวเอง เรียนรู้ แสวงหาความจริงด้วยตัวเองได้ พวกเธอจะต้องขจัดความหวาดกลัวภายในจิตใจของพวกเธอให้ได้เสียก่อน






ความหวาดกลัว


เธอที่รัก ขณะนี้เธอมีความหวาดกลัวอะไรอยู่ภายในจิตใจของเธอบ้าง ? กลัวจะตกงาน กลัวจะล้มละลาย กลัวจะไม่มีใครยอมรับ กลัวจะไม่มีใครรัก กลัวจะล้มเหลว กลัวจะไม่ได้รับการยกย่อง กลัวจะไม่เป็นใหญ่เป็นโต กลัวตาย กลัวจะไม่ร่ำรวย ฯลฯ


การศึกษานั้น ต่อให้เธอร่ำเรียนมาสูงสักแค่ไหนก็ตาม หากแม้มันไม่อาจช่วยขจัดความหวาดกลัวภายในใจของผู้เรียนได้ และไม่อาจทำให้เกิดความตื่นตัวทางจิตสำนึกขึ้นในตัวผู้เรียนได้ พึงรู้ไว้เถอะว่า "การศึกษา" ของเธอย่อมถือว่า ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ทั้งในแง่ชีวิต แง่จิตวิญญาณและแง่ความเป็นมนุษย์
เพราะในจิตใจของผู้คนที่เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว ความหวาดวิตกนั้น พวกเขาจะไม่มีวันได้พบกับอิสรภาพ และเสรีภาพที่แท้จริงได้เลย


เธออาจจะไม่รู้ว่า "ใจ" ของคนเรานั้น มักมีแนวโน้มที่จะเสื่อมถอยลงไปเรื่อย ๆ ได้ อันเนื่องมาจากความกลัว ความเห็นแก่ตัว ความคลั่งไคล้งมงาย ความจองหองหยิ่งยโส และถ้าหาก "ใจ" ของเธอเสื่อมถอยแล้ว เรื่องที่ชีวิตของเธอจะไม่เสื่อมถอยนั้นเป็นไม่มี และถ้าหาก "ใจ" ของผู้คนในสังคมล้วนเสื่อมทรามลงแล้ว เรื่องที่ผู้คนทั้งสังคมจะไม่เผชิญกับวิบากกรรมนั้น เป็นไม่มีอีกเช่นกัน


ความหวาดกลัว ภายในจิตใจของคนเรา โดยปกติมักจะปกปิดตัวเองอย่างค่อนข้างมิดชิด ที่สำคัญ ความกลัวมักชอบแปลงโฉมของมันในรูปของ "ความรัก" โดยเฉพาะคนที่ไม่เห็นความสำคัญในคุณค่าทางจิตใจ หรือมีความยากไร้ขาดแคลนแก่นสารสาระภายในตัว คนเหล่านี้มักจะพยายามชดเชยด้วยการแสวงหาสิ่งข้างนอกมาทดแทน คนที่ไร้แก่นสารข้างใน จึงมีความอยากรู้อยากเห็นที่ผิวเผิน ชอบพูดคุยในเรื่องไร้สาระ ชอบแสวงหาความสำราญเป็นชีวิตจิตใจ มิหนำซ้ำยังชอบ "เลียนแบบ" คนอื่น โดยหารู้ไม่ว่าการเลียนแบบคนอื่น ก็ยังเป็นผลผลิตของความหวาดกลัวอยู่ดี





ใจน้ำ


เธอที่รัก เธอรู้มั้ยว่า ในทะเลนั้นมีกระแสน้ำอยู่ 2 ประเภท กระแสหนึ่งนั้น ไหลอยู่บนพื้นผิวทะเลเป็นเกลียวคลื่น ไหวพริ้วไปตามสายลมและผันแปรอย่างไม่หยุดยั้งตามเจตจำนงของธรรมชาติ ที่มีทั้งคลื่นสูง คลื่นต่ำ ที่มีทั้งรุนแรงและสงบราบเรียบ ราวกับไม่เคยหลับใหล ดุจการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้
แต่ในทะเล ก็ยังมีกระแสน้ำอีกประเภทหนึ่ง ที่อยู่ลึกล้ำลงไปใต้ผิวทะเลหนึ่งร้อยเชียะ กระแสน้ำนี้ สงบนิ่ง มั่นคง และไหลลึก เป็นอยู่เช่นนั้นตั้งแต่โบราณกาล ตราบจนถึงปัจจุบัน และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป แม้ในอนาคต


เธอที่รัก เธอรู้มั้ยว่า โลกนี้ช่างเต็มไปด้วยเสียงคลื่นต่าง ๆ นานา พวกปลาเล็กปลาน้อย มักจะปล่อยตัวเองไปตามกระแส เริงร่า ร้องเพลงระริกระรี้ ไปตามกระแสคลื่นที่มีขึ้นมีลง


แต่จะมีใครบ้าง ที่รู้ซึ้งถึงหัวอกของน้ำที่อยู่ลึกใต้ทะเลหนึ่งร้อยเชียะนั้น ?


จะมีใครบ้างที่ล่วงรู้ถึงความลึกล้ำของมัน?


ฉันหวังแต่เพียงว่า ในชีวิตนี้ของเธอ ตัวเธอจะได้มีโอกาสสัมผัสกับ "ใจของน้ำ" ที่อยู่ลึกใต้ทะเลหนึ่งร้อยเชียะนั้น.. ซึ่งเป็น "ใจฉัน"


สุดยอดของความดี เหมือนเช่น น้ำ
น้ำ ให้คุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแก่สรรพสิ่ง
แต่ก็ไม่เคยขัดแย้งกับสรรพสิ่ง
น้ำ มักไหลลงที่ต่ำ อันเป็นที่ที่แม้แต่ผู้คนก็ยังรังเกียจ
และเต๋าก็เช่นกัน
ที่แท้ ใจของน้ำ ก็คือ ใจของเต๋า นั่นเอง





ใจที่ไม่ยึดติด


เธอที่รัก อวิชชาและจิตที่ยึดติดคือ ที่มาแห่งทุกข์
อวิชชา คือความหลง คือความไม่รู้เรื่อง
จิตที่ยึดติด คือการที่ใจไปจดจ่อหยุดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
คำว่า "ยึดติด" หมายถึง การหยุด และการหยุด หมายถึง การที่ใจไปจดจ่อ และถูกรัดตรึงด้วยอะไรบางอย่าง ไม่ว่าอะไรบางอย่างนั้นจะเป็นสิ่งใด เรื่องใด ก็ตาม


ถ้าหากเอาหลักวิชาอันนี้ไปใช้อธิบายวิชาดาบ ก็จะหมายความว่าเมื่อเธอเห็นดาบของปรปักษ์ฟันเข้าใส่ตัวเธอ และถ้าเธอ "คิด" จะยกดาบขึ้นรับ นั่นก็แสดงว่า จิตของเธอยังไม่ยึดติดจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวทำงานของปรปักษ์ การเคลื่อนไหวของเธอก็จะไม่สมบูรณ์เต็มที่ และตัวเธอจะเป็นฝ่ายถูกฟัน นี่แหละคือ ความหมายของคำว่า "ยึดติด" ที่เรากำลังอธิบายอยู่


เธอควรจะ "ดู" ดาบของปรปักษ์ที่ฟันเข้ามา แต่จงแค่ "ดู" เท่านั้นจงอย่าให้ใจของเธอไปยึดติดจดจ่ออยู่กับดาบของปรปักษ์ แต่จงเคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวทำงานของดาบปรปักษ์ โดยไม่คิดที่จะฟันตอบ และโดยไม่คิดถึงผลแพ้ชนะ ไม่คิดแยกแยะแบ่งเขาแบ่งเรา เธอเพียงแต่เมื่อเห็นดาบปรปักษ์จะฟันเข้ามา ก็จงไม่ลังเลใจที่จะกระโจนเข้าใส่ศัตรู เมื่อนั้นแหละที่ดาบของเธอจะทำหน้าที่ของมันเอง
ไม่ว่าปรปักษ์ของเธอจะเป็นฝ่ายโจมตีเข้ามา หรือตัวเธอจะเป็นฝ่ายโจมตีออกไป ไม่ว่าจะเป็นผู้บุก หรือเป็นดาบที่เขาใช้ฟัน ไม่ว่าจะเป็นจังหวะ หรือตำแหน่งของปรปักษ์ก็ตาม ถ้าหากใจของเธอยังมัวพะวงกับเรื่องเหล่านี้ แม้เพียงชั่วขณะจิตแล้ว อาการเคลื่อนไหวของเธอจะเชื่องข้าและตัวเธอจะเป็นฝ่ายถูกฟัน


ถ้าเธออยู่ต่อหน้าปรปักษ์ และตระหนักถึงความจริงในข้อนี้ ใจของเธอก็จะไปจดจ่อที่ปกปักษ์ จงอย่าทำเช่นนั้น และก็จงอย่านำใจของเธอไปจดจ่อที่ตัวของเธอด้วย เพราะมีแต่มือใหม่เพิ่งฝึกหัดเท่านั้น ที่จะมีใจจดจ่ออยู่กับตัวเอง
ใจของเธอ อาจจะไปจดจ่ออยู่กับดาบของเธอ และถ้าเธอใส่ใจอยู่กับจังหวะในการต่อสู้ ใจของเธอก็จะไปจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น ไม่ว่าใจของเธอจะไปจดจ่ออยู่กับดาบ หรือจดจ่ออยู่กับอะไรก็ตาม มันจะทำให้เธอเชื่องข้า งุ่มง่าม ดุจเปลือกหอยที่ว่างกลวง เพราะฉะนั้น จิตที่ยึดติดเช่นนึ้จึงเป็นความหลง และเป็นที่มาแห่งทุกข์






แปรเปลี่ยนพลังทางเพศ


เธอที่รัก เธอรู้มั้ยว่า ในบรรดาพลังงานต่าง ๆ ที่มนุษย์เรามีอยู่ในตัว พลังทางเพศ เป็นพลังที่รุนแรง ทรงพลังมหาศาลที่สุด เกินกว่าที่คนทั่วไปจะคาดคิดมากนัก ไม่ว่าผู้คนส่วนใหญ่จะสำเหนียกหรือไม่ก็ตามพวกเขาควรจะรู้ความจริงข้อหนึ่งว่า ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนดำรงชีวิตอยู่โดยถูกเรื่องเพศนี้ครอบงำอย่างเปิดเผยและแอบแฝง


ตัวอย่างที่เห็นกันชัด ๆ ก็คือ อาชญากรรมทางเพศ เกิดขึ้นมากมายเหลือเกินในสังคมสมัยนี้ไม่เว้นแต่ละวันความรู้สึกที่เกิดขึ้นชั่ววูบในใจสามารถผลักดันปุถุชนธรรมดา ให้กลายเป็นสัตว์ป่าในคราบคนได้ภายในพริบตา จนลืมความผิดชอบชั่วดีได้ และต่อให้พวกเขาพอมีความยับยั้งชั่งใจจนไม่ก่อคดีข่มขืน แต่จะปฏิเสธได้หรือไม่เล่าว่า ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนมีจินตภาพที่ลามกทางเพศอยู่ในใจแทบทุกคนไม่มากก็น้อย


การที่แรงผลักดันทางเพศส่งผลในแง่ลบต่อสังคม และปัจเจกเช่นนี้ ก็เพราะผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้วิธีบริหารควบคุมมัน มิหนำซ้ำยังใช้พลังทางเพศนี้ไปอย่างเปล่าประโยชน์ และสิ้นเปลืองไร้สาระในชีวิตประจำวันอย่างน่าเสียดายด้วย โดยไม่คิดจะแปรเปลี่ยนพลังนี้ให้เป็นพลังทางจิตขั้นสูง


วิชาตันตระ ของศาสตร์ตะวันออกเป็นส่วนหนึ่งของ "ปัญญาอมตะ" ที่มุ่งจะใช้ประโยชน์จากพลังทางเพศนี้ เพื่อมารับใช้มนุษย์ให้สามารถยกระดับตัวเอง จนกลายเป็น สิ่งประเสริฐสุด ได้ ไม่ว่าจะเพื่อการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพ เพื่อพัฒนาความสามารถพิเศษในตัวมนุษย์ เพื่อทำให้มีอายุยืน เพื่อเพิ่มพลังชีวิต พลังทำงาน หรือเพื่อพยุงความเป็นหนุ่ม เป็นสาวของคนเราเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าจะนานได้ ก็ตาม


เธอที่รัก หากเธอต้องการจะประสบความสำเร็จขั้นสูงในระดับที่เป็นยอดคนแล้ว เธอจะต้องสามารถปลดปล่อยตัวเอง ให้หลุดพ้นจากด้านที่เลวร้ายของแรงผลักดันทางเพศให้ได้ ซึ่งถ้าหากทำเช่นนั้นได้แล้วคนเราก็จะได้พลังวิเศษอันน่าทึ่งเป็นของกำนัลด้วย นั่นคือ สามารถกระตุ้นเซลล์สมองให้คึกคัก มีร่างกายที่แข็งแรงและทรงพลัง สามารถพัฒนาความสามารถพิเศษทางจิตภายในตัว บำรุงกายทิพย์ให้สมบูรณ์ ขจัดจุดอ่อนในตัวเอง ดัดแปลงนิสัย เสริมพลังสร้างสรรค์ภายในตัว และพัฒนาความรักที่แท้จริง






ไม่เอียงขวา ไม่เอียงซ้าย


ดูกร เธอผู้มีทั้งฝีมือ สติปัญญา และความแข็งแกร่งทางร่างกายแต่มีหัวใจที่เต็มไปด้วยบาดแผล ความเดือดร้อนของมนุษย์ที่เป็นไปในโลกขณะนี้ก็ดี ล้วนเกิดขึ้นเพราะคนเราไม่ยอมเรียนรู้ ไม่ยอมทำความเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ไม่ยอมเห็นความสำคัญของธาตุจิตวิญญาณของมนุษย์ ทั้ง ๆ ที่ จิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ทุกอย่างสำเร็จ ได้ด้วยจิตวิญญาณ


เธอจงอย่าลืมว่า จิตวิญญาณที่อยู่ในตัวคนเรานี่แหละที่เป็นตัวสำคัญในการสร้างสรรค์ เป็นตัวที่มีบทบาท มีอำนาจมีฤทธิ์แรงที่จะทำให้เกิดทุกข์ได้


การทำความดีของคนเราก็เช่นกัน จะต้องมีจังหวะ มีขั้นตอน มีส่วนต้น ส่วนกลาง ส่วนปลาย คนเราจะเห็นดี เห็นชั่ว ก็เท่าที่ตนจะแลเห็นได้เท่านั้น ไม่เสมอไปหรอกที่ความดีความชั่วที่เธอเห็นนั้นจะถูกต้องเสมอไป


ความโน้มเอียงที่ผิดพลาดในเรื่องการทำดีนั้น มักจะเกิดใน 2 กรณี
กรณีแรกเรียกว่า เอียงขวา คือเป็นคนที่หนักไปข้างน้อย หรี่และดับหมายความว่า เป็นพวกที่เห็นแก่ตัว เอาตัวรอด ไม่ทำอะไรที่สร้างสรรค์สร้างสาระให้กับโลก ตัวเองดีคนเดียวก็พอ ส่วนอีกหนึ่งเรียกว่า เอียงซ้าย คือเป็นฝ่ายฟุ้งซ่าน เห็นแก่ประโยชน์ส่วนใหญ่ มุ่งสร้างประโยชน์แก่มวลชน คิดมาก ปรุงมาก พูดมาก สอนมาก ได้แต่สอนคนอื่น แต่ไม่สอนตัวเอง ไม่ทำ ไม่ประพฤติให้แก่ตัวเอง จึงไม่รู้จริง แต่รู้มากเลยรกเลอะ ผิดเพี้ยน ว้าวุ่นใครจะทำผิดทำถูก พอเหมาะพอดีเพียงไร ไม่มีปัญญารู้แท้ ตัดสินเด็ดขาดไม่เป็น ซ้ำร้ายตนเองก็ไม่รู้ตัวเองว่าทำเลวทำผิดอยู่เพียงใด ค้านแย้งกับคำพูดคำสอนของตนเพียงใดก็ไม่รู้ มุ่งแต่ ความใหญ่ ความมาก มุ่งรู้ออกนอกตน แต่ไม่คิดมุ่งเข้าหาตน


ส่วนทางสายกลางที่ไม่เอียงซ้าย และไม่เอียงขวา ในการทำดี คือการมุ่งพัฒนาตนเองให้สมบูรณ์ที่สุดก่อน เมื่อได้ประโยชน์ส่วนตนจนในระดับหนึ่งแล้ว จึงค่อยทำแต่ประโยชน์ท่าน โดยที่ก็ยังไม่เลิกการพัฒนาตนเองได้ ก็ต้องสร้าง แก่นสารขึ้นมาในตัวเองให้ได้เสียก่อน แก่นสารของคนเราจะมีมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับ ความคิด ที่เป็นแก่นสาร คำพูด ที่เป็นแก่นสาร และการกระทำ ที่เป็นแก่นสารของคนผู้นั้นนั่นเอง






คลื่นความคิด


เธอที่รัก เธอเคยสังเกตบ้างหรือเปล่าว่า วันนี้ ได้เกิดความคิดในเชิงอัตตา หรือเห็นแก่ตัวประเภทไหน และอย่างไรบ้าง และในวันเดียวกันนั้นได้เกิดความคิดใน เชิงจักรวาล ประเภทไหน อย่างไรบ้าง หากเธอสามารถแยกหมวดหมู่ความคิดที่เกิดขึ้นในวันนั้นของตัวเธอให้ชัดเจนได้เธอก็จะ รู้ได้ว่า ความคิดฝ่ายไหนมีอำนาจเหนือจิตใจเธอมากกว่ากันในแต่ละวัน


"ความคิด" ของมนุษย์ เป็นคลื่นที่ส่งผ่านไปในอวกาศได้ ในลักษณะแผ่เป็นรังสีที่เปล่งออกมาเป็นเส้นตรงในทุกๆ ทิศทาง ถ้ากระแสความคิดถูกส่งเป็นคลื่นออกไปแล้ว มันจะเคลื่อนที่ต่อไปอย่างไม่มีขอบเขตจนกว่าจะถูกดูดซับหรือถูกขวางกั้นโดยสิ่งอื่น


เซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกายมนุษย์ ก็เป็นสิ่งที่สามารถปล่อย "คลื่นความคิด" ออกมาได้เช่นกัน และในทางกลับกัน "คลื่นความคิด" ของมนุษย์ ก็ย่อมสามารถมีผลสะเทือนต่อเซลล์แต่ละอันในร่างกายของตนได้ด้วยดังจะเห็นได้ว่า ความเครียดที่สั่งสมนาน ๆ เข้าเป็นตัวการสำคัญอันหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บแก่มนุษย์ เพราะคลื่นความคิดเหล่านี้ เข้าไปมีผลกระทบต่อร่างกายนั่นเอง


การมีความคิดที่แจ่มใส ร่าเริง มองโลกในแง่ดี จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดเสียมิได้สำหรับมนุษย์ที่ต้องการมีสุขภาพแข็งแรง ไม่แต่เท่านั้น การเลือกคบคนที่มีสุขภาพจิตดี มีความคิดที่ดีงามและสร้างสรรค์ ก็เป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิตด้วยเช่นกัน


เธอที่รัก ถ้าทำได้ เธอควรจะหลีกให้ห่างผู้คนที่ปล่อย "คลื่นความคิด" ร้าย ๆซึมเศร้ามัวซัว เธอจะได้ไม่ไปรับผลสะเทือนที่ไม่ดีของผู้คนเหล่านั้นมาสู่ตัวเธอ


วิถีชีวิตที่ดี นั้น คือวิถีชีวิตที่คนผู้นั้นสามารถธำรงรักษา "คลื่นความคิด" ที่ดีงาม เปี่ยมไปด้วยปีติของความมีชีวิตอยู่เอาไว้ได้ตลอดเวลาและตลอดไป อีกทั้งยังสามารถเปล่งคลื่นความคิดนั้นออกสู่ภายนอกได้ด้วย วิถีชีวิตเช่นนี้ จะช่วยปลดปล่อยเซลล์ต่างๆ ในร่างกายของเธอให้ผ่อนคลาย และง่ายต่อการรับคลื่นที่มีระดับสูงๆ จากภายนอกได้อีกซึ่งจะทำให้เธอสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างไม่มีขีดจำกัด






วันหนึ่งของเธอต้องเป็นสี่ ห้าวัน ของคนอื่น


หลายปีมานี้ มิว่าเป็นเช้าตรู่ สนธยา หรือดึกดื่น มิว่าอยู่ในท่ามกลางป่าคอนกรีต หรือในโขดเขาลำเนาไพร หรือในท้องน้ำยาวไกล หรือในท้องถนนที่รถติดยิ่ง จิตใจของเราเด็ดเดี่ยวอยู่แต่การฝึกปรือฝีมือฝึกฝนตนเอง ขบคิดค้นคว้าความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ และจักรวาลที่สัมพันธ์กับหลักวิชาฝีมือและหลักการพัฒนาตนเอง ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่ไม่อาจค้นคว้าให้กระจ่างได้โดยง่าย


ตัวเราต้องถือวันหนึ่งของเราเป็นสี่ ห้าวัน ของคนอื่น แม้กระทั่ง เป็นถึงสิบวัน ตัวเราจึงได้มาซึ่งความสำเร็จ ความเข้มแข็ง สติ ปัญญาในสิ่งที่ตัวเราได้ร่ำเรียนฝึกฝนมาในหลายปีนี้


ความสำเร็จในวิชาฝีมือของคนเรา นับว่ามีความสัมพันธ์กับนิสัยใจคอของคนผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง พลังอันยิ่งใหญ่และพิสดารของ "หัวใจ" คนมีบางครั้งนับว่าไม่อาจคำนวณให้ถูกต้องตรงความจริงได้ ขอเพียงมีความเชื่อมั่นแน่วแน่เด็ดเดี่ยว พลังของมันก็จะดำเนินไปได้ในทุกสรรพสิ่ง บรรลุถึงได้ในทุกแห่งหน


ในหลายปีมานี้ ที่ตัวเราคร่ำเคร่งฝึกฝนโดยมิเคยหยุดยั้ง ก็ฝึกปรือแต่ "หัวใจ" ดวงนี้ของเราเท่านั้น เราฝึกปรือจิตใจของเรา จนกระทั่งสามารถผ่อนคลายไม่เคร่งเครียดได้ และยังสามารถเร่งเร้า พลังลี้ลับในชีวิต ของเราออกมาให้หมดสิ้นในยามต้องการอีกด้วย ควรทราบว่า พลังลี้ลับของแต่ละนั้น มีบางครั้งยังเหนือล้ำกว่ากำลังกายอีกมากมายนักแต่เสียดายที่ในหมู่คนเป็นหมื่น มีถึงเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน ที่ไม่เพียงแต่ไม่ทราบว่าจะใช้มันออกมาด้วยวิธีใด แต่ยังกลับไปกดรั้งมันเอาไว้เสียอีก ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริง ๆ






การเอาชนะตนเอง คือ การเอาชนะความคิด


เธอที่รัก เธอสามารถรู้ศาสนาทุกศาสนาได้ ด้วยความเข้าใจของเธอเอง เธอสามารถรู้ศาสนาทุกศาสนาได้โดยไม่ต้องพึ่งตำรา ซึ่งเป็นเพียงคำพูดของบุคคลอื่น ถ้าหากเธอใช้การศึกษาที่ตัวเธอเอง ด้วยการ "เห็น" จิตใจของตัวเอง และด้วยการมี "ประสบการณ์โดยตรง" ในความสงบที่แท้จริง


ถ้าเธอทำได้เช่นนั้น หรือมาถึงจุดนั้น เธอก็จะพบเองว่า การเอาชนะตนเองคือ การเอาชนะ "ความคิด" และ "พระ" มิได้หมายถึง การโกนหัวออกบวช แต่หมายถึง คุณภาพของจิตใจที่ควรแก่การเคารพ อันเป็นอันลักษณะของจิตที่เป็นอยู่ดั้งเดิม ดุจดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของชีวิต คนเราไม่ต้องทำอะไรเลยเพื่อให้มีคุณภาพจิตเช่นนี้ เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่จะ "เห็น" มันได้ก็ต่อเมื่อ "เห็น" ความคิดเท่านั้น


แล้วเธอจะรู้ได้ว่า ศาสนาไม่ได้หมายถึงวัด แต่วัดเป็นเพียงศาสนาสมมุติ เพราะที่แท้แล้ว คนทุกคนคือศาสนา เมื่อคนทุกคนใช้สติ สมาธิ ปัญญา ของตนไปพิจารณา "คำสอน" และรู้ขึ้นมาโดยแท้จริง เมื่อนั้นความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาอย่างแท้จริงจะบังเกิด พระที่แท้จริงจะบังเกิด และสำหรับตัวเธอแล้ว โลกทั้งโลกนี้คือ สันติสุข แม้ว่าโลกของคนอื่นจะโกลาหลและร้อนรุ่มก็ตาม


ธรรมะที่ว่าด้วยการ "เห็น" ความคิดนี้ ไม่ใช่ของใครทั้งหมด เป็นสากล เป็นของทุกคน ไม่ใช่เป็นของศาสนาพุทธ ไม่ใช่เป็นของศาสนาพราหมณ์ ไม่ใช่เป็นของศาสนาคริสต์ ไม่ใช่ของคนไทย ไม่ใช่ของคนจีน ไม่ใช่ของคนฝรั่ง ไม่ใช่ของชาติไหนทั้งนั้น แต่เป็นของ "ผู้รู้"





ครูที่แท้


เธอที่รัก ในโลกปัจจุบันนี้ การได้พบครูที่แท้นั้น เป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน เพราะในโลกที่เต็มไปด้วยความปลิ้นปล้อน หลอกลวงตลบตะแลงเช่นปัจจุบันนี้ "ครูที่แท้" จำเป็นต้องปลีกตัว เร้นกาย มุ่งหน้าฝึกฝนตัวเอง เคี่ยวกรำตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น เนื่องจากคุณค่าที่มีอยู่ในตัวครูเช่นนี้ หาได้เป็นคุณค่าที่มี "มูลค่าตลาด" แต่ประการใดไม่


จริงอยู่หรอก ที่ยังมี "ครูที่แท้" อยู่เป็นจำนวนไม่น้อยในโลกนี้ แต่การได้พบพวกท่าน และได้ร่ำเรียนวิชาจากพวกท่าน นับว่าเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก


ในเมื่อตัวเธอดำรงอยู่ในยุคที่ยากจะพานพบ "ครูที่แท้" ได้โดยง่ายเช่นนี้แล้ว ตัวเธอสมควรจะทำประการใดดี?


ก่อนอื่น เธอต้องเชื่อมั่นในตัวเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชื่อมั่นใน "พุทธภาวะ" หรือ "จิตเดิม" (อาตมัน) ที่ดำรงอยู่อย่างแน่นอนภายในตัวของเธอ เพราะเมื่อเธอมีความเชื่อมั่นเช่นนี้แล้ว ต่อให้คนอื่นหรือสังคมมองเธอในแง่ลบเพียงใด หรือมองว่าเธอเป็นคนเพี้ยนก็ตาม ตัวเธอก็จะหามีความหวั่นไหวไม่ และเมื่อเธอได้ฝึกฝนพัฒนาตนเองมาจนถึงระดับหนึ่งแล้ว เธอก็จะพบว่า "ครูที่แท้จริง" หาได้ดำรงอยู่เฉพาะคนที่สอนเธอเท่านั้นไม่ แต่ "ครูที่แท้" ก็คือ ตัวจักรวาลนั่นเอง นั่นคือ ทุก ๆ สิ่งในจักรวาลสามารถเป็นครูให้เธอได้


ต้นไม้ย่อมสามารถเป็นครูให้เธอได้ เพราะมันให้ร่มเงาอันร่มเย็นแก่คนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าคนผู้นั้นคิดจะตัดต้นไม้ หรือปลูกต้นไม้ก็ตาม มิหนำซ้ำต้นไม้ยังออกดอกออกผลให้แก่ผู้คนทั้งปวงด้วยต้นไม้จึงเป็นครูผู้สอนจิตใจที่เสมอภาคให้แก่เธอ


ภูเขาก็ย่อมเป็นครูของเธอได้ เพราะไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออก ไม่ว่าร้อนหรือหนาว ไม่ว่าลมจะพัดหรือไม่พัด ภูเขาก็ยังคงหนักแน่นมั่นคงไม่เสื่อมคลาย ภูเขาจึงเป็นครูผู้สอนให้เธอ อย่าไปวิตกกังวลกับอุปสรรคใด ๆ จนเกินเหตุ


นกเป็นสัตว์ที่ไม่เคยกลัดกลุ้มเกี่ยวกับเรื่องราวของวันพรุ่งนี้ มันดำรงชีวิตอยู่อย่างพอใจกับอาหารที่มันหาได้ในขณะนั้น นกจึงสามารถเป็นครูของเธอได้ เพราะมันสอนให้เธออย่าไปมัววิตกกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง


เพราะฉะนั้น ผู้ใดก็ตามที่สามารถเข้าถึง "ความจริง" จากธรรมชาติในเรื่องนี้ได้ ผู้นั้น ย่อมสามารถค้นพบ "ครูที่แท้" ได้ในทุกหนทุกแห่ง





ผู้มีความอดทนย่อมเป็นผู้เห็นธรรม


มีเด็กชายคนหนึ่ง บิดาของเขาได้ตายไปเมื่อเขาอายุได้เพียง 12 ปี เขาเศร้าโศกเสียใจและว้าเหว่มาก จนนึกอยากไปแสวงหาความสุขทางใจจากพุทธศาสนา เขาจึงไปปรึกษากับลุงของเขา ซึ่งทำหน้าที่ดูแลเขาแทนบิดาว่า จะเห็นเป็นประการใด ถ้าหากเขาคิดจะบวชเณร


เมื่อลุงเห็นว่า หลานชายมีความแน่วแน่ จึงพาเขาไปที่วัดแห่งหนึ่งและฝากฝังเขาให้อยู่ในความดูแลของอาจารย์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง เด็กชายเอาใจใส่ในการร่ำเรียนธรรมอย่างเต็มความสามารถ โดยลุงจะมาเยี่ยมเยียน ถามข่าวคราวเขาเดือนละครั้งเสมอ


ในวัดแห่งนี้ มีเณรรูปหนึ่งอายุราว ๆ 19 ปี มาจากครอบครัวฐานะดี มีวัดที่สวยงามเป็นของตระกูล ซึ่งต่อไปข้างหน้า หลังจากเณรผ่านการอบรมแล้ว ก็จะได้ไปเป็นพระในวัดนั้น เพราะฉะนั้น เณรรูปนี้จึงไม่เอาใจใส่ในการฝึกฝนปฏิบัติธรรม มัวแต่คิดเร่งให้เวลา 4 - 5 ปี หลังจากนี้ผ่านไปโดยเร็ว เพื่อจะได้ไปเป็นพระ อยู่ในวัดประจำตระกูลอย่างสุขสบายเสียที


ยิ่งเณรได้เห็นเด็กชายท่องตำราอย่างมุมานะ เณรก็ยิ่งรู้สึกเขม่นไม่ชอบใจ เพราะนั่นเป็นการเตือนให้เณรได้สำนึกตัวเองอยู่เรื่อยว่า เขาควรจะเอาใจใส่และขยันอย่างนั้นบ้าง เด็กชายรับใช้เณรทุกอย่าง แต่เณรไม่เคยพอใจเลย วันหนึ่งในฤดูหนาว เณรตะโกนบอกเด็กชายให้เอาน้ำใส่กาต้มน้ำ


กาต้มน้ำที่ใช้ในวัดสมัยก่อนเป็นกาโลหะ แขวนห้อยลงมาเหนือกองถ่าน มีเหล็กอันยาววางไว้ข้าง ๆ เตาสำหรับคอยเขี่ยถ่าน เด็กชายกำลังเทน้ำใส่กา เณรก็ตวาดเอ็ดอีก ทำให้เด็กชายสะดุ้งจนน้ำหก


"ไอ้เด็กซุ่มซ่าม!" เณรผรุสวาทออกมา พร้อมกับฉวยเหล็กเขี่ยถ่านฟาดไปที่แขนของเด็กชายเต็มแรง บางทีเณรหนุ่มอาจจะไม่ได้ตั้งใจฟาดแรงขนาดนั้น แต่เนื่องจากกำลังมีโทสะ จึงพลาดพลั้งหนักมือไปเด็กชายรู้สึกเจ็บปวด พยายามกลั้นน้ำตา รีบวิ่งแอบไปร้องให้ที่กอไผ่นอกวัด


บังเอิญวันนั้นลุงของเด็กชายมาเยี่ยมหลานที่วัด เห็นเด็กชายกำลังวิ่งไปทางกอไผ่ จึงรีบตามไปดู แม้เด็กชายพยายามปกปิด แต่รอยแดงยาวที่แขนของเด็กชายทำให้ลุงรู้ว่า เขาจะต้องถูกใครตีมาแน่ ลุงจึงฉุดหลานชายไปที่วัด ตรงรี่เข้าหาอาจารย์ และต่อว่าว่า


"ดูนี่สิครับ หลานของผมถูกคนในวัดทำร้าย! ไหนอาจารย์ชมหลานผมเสมอว่า ขยันขันแข็ง ตั้งใจฝึกฝนปฏิบัติธรรม ใคร ๆ ก็รู้ว่าที่นี่เป็นที่ฝึกจิต แล้วทำไมยังเกิดเรื่องอย่างนี้อีกครับ?"


อาจารย์ลุกขึ้นเดินไปหยิบหนังสือธรรมเล่มหนึ่ง เปิดหนังสือแล้วส่งให้เด็กชายอ่าน

"เธอจงอ่านตรงนี้ซิ" อาจารย์สั่ง

เมื่อเด็กชายอ่านถึงประโยคที่เขียนว่า "ผู้มีความอดทนเป็นผู้เห็นธรรม" อาจารย์ก็พูดว่า

"เธอจงอ่านประโยคนี้ซ้ำอีกครั้ง จงอ่านช้า ๆ แล้วเราจะน้อมใจเข้าสู่สมาธิ ด้วยข้อความประโยคนี้ด้วยกันนะ"


ลุงตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า

"คนไม่โดนฟาดคงทำสมาธิได้ง่ายกว่ามั้ง!"

"นั่นสิ คนที่ไม่โดนฟาดทำสมาธิได้ง่ายกว่าคนที่โดนฟาด" อาจารย์ตอบพลางลุกขึ้นไปหยิบเหล็กเขี่ยถ่านขึ้นมาจากข้างเตาไฟ แล้วฟาดสุดแรงลงบนแขนขวาตัวเอง จากนั้น ก็พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

"ทีนี้ เราจงมาทำสมาธิพร้อม ๆ กันเถิดนะ... ผู้มีความอดทนย่อมเป็นผู้ที่เห็นธรรมโดยแท้"





การถ่ายทอดใจ


แก่นแท้ของวิชาตะวันออกนั้น อยู่ที่การถ่ายทอดใจที่เป็น "ธรรมกาย" จากครูไปให้แก่ศิษย์ เพื่อทดแทนใจที่ยังมีอวิชชาและกิเลสอยู่ของศิษย์


เธอควรจะรู้ว่ามนุษย์เรานั้นมีชีวิตอยู่ด้วยการ "เสพ" พลังความคิดอารมณ์ ความรู้สึกที่ผุดโผล่ขึ้นมาจากใจของเราตลอดเวลา ดุจน้ำมันก๊าดที่เผาผลาญตัวเอง เพื่อให้เกิดแสงไฟ


การเกิดขึ้นและดับไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกเช่นนี้ของความคิดและอารมณ์คือ รูปลักษณ์ต่าง ๆ ของใจเรา เมื่อใดก็ตามที่รูปลักษณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ของใจได้ดับสูญไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อนั้นแหละที่ "ใจดั้งเดิม" ของเราจะปรากฏตัวเผยโฉมของมันออกมา สิ่งนั้นแหละที่เราเรียกว่า "ธรรมกาย" ของวัชรยาน


การเตรียมจิต เพื่อฝึกใจแห่งธรรมกายของวัชรยานนั้น ที่สำคัญคือ การเตรียมจิตดุจพระโพธิสัตว์ กับการเตรียมจิตดุจ "ครูที่แท้" การเตรียมจิตดุจพระโพธิสัตว์ คือการตั้งจิตภาวนาอยู่เสมอว่า


"การที่ตัวเราคร่ำเคร่งฝึกฝนตัวเองอยู่ในขณะนี้ เรามิใช่ทำเพื่อตัวของเราเองเท่านั้น แต่เราทำเพื่อใช้อานิสงส์ที่ตัวเราได้จากการปฏิบัติฝึกฝนนี้มาเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังหลงทางอยู่ในวัฏสงสาร จะได้สามารถพ้นทุกข์ได้ หลุดพ้นได้ในที่สุด"


ทำไม ตัวเราถึงต้องย้ำการปลูกฝังจิตใจแบบพระโพธิสัตว์ ที่มุ่งช่วยเหลือคนอื่นนี้ ให้แก่ตัวเธอเป็นประการแรก ก่อนที่เธอจะเริ่มฝึกวิชาของเรา? นั่นก็เพราะว่า หากตัวเธอไม่มีจิตใจแบบพระโพธิสัตว์เช่นนี้ดำรงอยู่ในตัวของเธอก่อนแล้ว คำสอนใด ๆ ที่เธอจะได้รับก็ดี วิชาใด ๆ ที่เธอจะได้ร่ำเรียนฝึกฝนจากเราก็ดี จะเป็นเพียงแค่ "การเรียนแบบ" ผู้ฝึกวิชาเท่านั้น ยังหาเป็นการฝึกวิชาที่แท้จริงไม่


ทั้งนี้ เพราะวิชาทั้งหลายของเรา ไม่อาจแยกการกระทำของเราออกจากจิตใจแห่งพระโพธิสัตว์ได้ วิชาของเรา การกระทำของเรา และใจของเรา ล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสิ่งนี้ทั้งสิ้น





คนดีกับความรัก


เธอที่รัก การเป็นคนดี เป็นเรื่องของความสามารถที่จะทำความดีให้แก่ตนเอง และประจักษ์แจ้งแก่ผู้อื่น เพราะฉะนั้น การเป็น "คนดี" จึงเป็น "งาน" ที่ท้อแท้ไม่ได้ ความท้อแท้มักจะเกิดขึ้นมาจากความอ่อนแอ มาจากการถูกบั่นทอนพลังทางจิตใจ ที่จะมุมานะพยายาม เพื่อปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม


การเป็นคนดีนั้น จึงมีสองด้าน ด้านหนึ่ง เป็นคนดีเพื่อตัวเอง และได้กับตัวเอง อีกด้านหนึ่ง เป็นคนดีเพื่อคนอื่น ในคติของชาวตะวันออกนั้น การเป็นคนดี หรือการทำความดีให้กับตัวเองเพื่อตนเองนั้น มีความสำคัญมากเป็นอันดับแรกสุด


เพราะมีแต่บุคคลที่ถึงพร้อมซึ่งการทำความดี หรือได้มาซึ่งความสามารถที่จะทำความดีให้มีขึ้นกับตัวเองแล้วในระดับหนึ่งเท่านั้น ถึงจะสามารถส่งผลสะเทือนในวงกว้างต่อผู้อื่น ต่อสังคมภายนอก และต่อมนุษยชาติ ไม่เฉพาะแต่ในยุคปัจจุบันนี้เท่านั้น ยังรวมไปถึงอนาคตสมัยอีกด้วย


ถ้ามองในอีกแง่มุมหนึ่ง การทำความดีหรือการเป็นคนดี จึงไม่อาจขาดได้ซึ่งคุณธรรมประจำตนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความถ่อมตน ความกล้าหาญ ความเป็นผู้มีศรัทธา ความเป็นผู้มีวินัยในตนเอง ความเป็นผู้มีจิตใจเข้มแข็ง ความเป็นผู้ทระนงเชื่อมั่นในตัวเอง ความเยือกเย็น ความตรงไปตรงมา ความซื่อสัตย์ ความจริงใจ ความเอาใจใส่ต่อผู้อื่น เหล่านี้เป็นต้น


การทำความดี หรือการเป็นคนดี ด้วยการสร้างคุณธรรมประจำตนหลายประการ ดังที่ยกมาข้างต้นนี้ ตามคติของชาวตะวันออกนั้นเรียกว่า เป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อการสร้าง "บารมี" ซึ่งถ้าหากสะสมไว้มากจนถึงระดับหนึ่งแล้ว จะทำให้ผู้นั้นสามารถประสบความสำเร็จทางบุคลิกภาพในระดับที่สูงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ต่อเนื่องกันไปจนกว่าจะสามารถหลุดพ้นได้ในที่สุด


ถ้าพิจารณาจาก จุดยืนอย่างตะวันออกเช่นนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าคนเราจะเลิกทำความดีไม่ได้เลย! คนเราจะท้อแท้ในการทำความดีไม่ได้และคนเราจะนิ่งดูดายปล่อยให้ความดีถูกทำลายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้เพราะถ้าทำเช่นนั้นแล้ว ผลแห่งอกุศลกรรมจากการทอดทิ้งความดีเช่นนั้นในที่สุด ก็จะย้อนกลับมาสู่ตนเองในที่สุด ในรูปกรรมแบบใดแบบหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว ไม่ในภพนี้ก็ภพหน้า


แต่เหตุไฉน "คนดี" จึงมักถูกรังแก ทำให้เกิดความท้อแท้ขึ้นภายในจิตใจของผู้คนเล่า?
ใช่ เป็นเพราะว่า สังคมนี้ขาดแคลน "ความรัก" กันหรือไม่?
ใช่ เป็นเพราะว่า สังคมสมัยนี้ขาดความเชื่อมั่น ขาดความศรัทธาใน "พลังแห่งความรัก" กันหรือไม่?


ในวิถีแห่งชีวิตที่มนุษย์ทุกคนจะต้องเดินกันไปนั้นเรายังไม่เห็นเลยว่า จะมีสิ่งใดที่สำคัญไปกว่า "ความรัก" !


ความรักเป็นสายใยที่เชื่อมร้อยคุณธรรมต่าง ๆ ในตัวมนุษย์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้ "คน" กับ "ฟ้า" สามารถผนึกหลอมรวมตัวเป็นสิ่งเดียวกันได้


จาก ฟ้า ไปสู่ ความรัก ไปสู่ ความกล้าหาญ ไปสู่ ปัญญาญาณ ไปสู่ ความดี ไปสู่ ความอ่อนโยน ไปสู่ ความงาม ไปสู่ ความปรองดอง ไปสู่ ความเมตตากรุณา ไปสู่ สัจธรรมความจริงใจ ไปสู่ความไร้อัตตา ไปสู่ สุญตา หรือ ความว่าง


ตะวันออกกับตะวันตก มาเชื่อมกันได้ด้วย "ความรัก"
ความไม่มีอะไรกับความมีอะไร มาเชื่อมกันได้ก็ด้วย "ความรัก"
ผู้ลดแสงกับผู้เพิ่มแสง มาเชื่อมกันได้ด้วย "ความรัก"
สิ่งใหม่กับสิ่งเก่า ก็มาเชื่อมกันได้ด้วย "ความรัก"


ความรัก เป็นสิ่งที่มีพลัง ก็เพราะความรักเป็นสิ่งที่สามารถเชื่อมหลอมรวมสิ่งที่เป็นคู่ตรงข้ามของความขัดแย้งได้ด้วยเหตุนี้ความรักที่แท้จริงจึงไม่มีการแย่งชิง ความรักที่แท้จริง ย่อมไม่มีศัตรู

ความรัก คือรถศึกที่เป็นพาหนะพาเราฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตทั้งปวง

ความรัก คือแสงสว่างที่ส่องทางหัวใจของผู้คน ขับไล่ความมืดมิดให้ออกไปจากจิตใจ นำพาเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า

ความรัก คือชีวิต เป็นอาหารสำหรับหล่อเลี้ยงชีวิตให้สมบูรณ์

ความรัก คือความกล้าหาญที่จะยืนหยัดต่อสู้กับความยากลำบากต่าง ๆ ทั้งปวง

ความรัก คือการตั้งปณิธานว่าจะใช้ชีวิตร่วมกัน ก้าวไปพร้อม ๆ กันในสังคมเดียวกันอย่างสันติ

ความรัก คือวาจา คำพูด ภาษาที่ส่อให้เห็นถึงความงดงามภายในจิตใจของพวกเรา

ความรัก คือความปรองดอง การให้อภัยแก่กันและกัน เพื่อร่วมกันสร้างโลกใหม่ที่น่าอยู่กว่าเก่า

และ ความรัก คือการเจริญภาวนา เพื่อเพิ่มพลังแห่งความรักเพื่อยกระดับจิตวิญญาณของตัวเองให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ... คนเราทุกคนล้วนมีความสามารถที่จะรักได้ทั้งนั้น





ซูเปอร์สตาร์มิใช่อภิมนุษย์


เธอที่รัก เราอยากจะเตือนเธอว่า การหลงไหลอยากเป็น "ดารา" หรือ "ซูเปอร์สตาร์" นั้น เป็นมายาภาพอย่างหนึ่ง เพราะปุถุชนคนธรรมดานั้น แยกไม่ออกว่า ซูเปอร์สตาร์กับอภิมนุษย์นั้น ไม่เหมือนกัน


ผู้ชายอาจเป็นเพศที่หลงไหลใฝ่ฝันในความอยากเป็น "อภิมนุษย์" มากกว่าสตรี มีผู้ชายที่จิตใจปกติคนไหนบ้าง ที่ไม่เคยใฝ่ฝันต้องการจะเป็นคนเก่ง หรือบุรุษผู้เข้มแข็งดุจวีรบุรุษ หรือพระเอกในตำนาน ในนิยายหรือในภาพยนตร์? แต่จะมีใครบ้างสักกี่คน ที่สามารถได้เป็น "พระเอก" เช่นนั้นในชีวิตจริงสมใจตน?


แม้ผู้ชายส่วนใหญ่ในโลกจะมีความใฝ่ฝันในความเป็นอภิมนุษย์อยู่ก็ตาม พวกเขาก็ต้องเผชิญกับความจริงทางสังคมที่เจ็บปวดประการหนึ่ง นั่นคือ พวกเขาเป็นสัตว์สังคม พวกเขามีครอบครัว มีห่วง มีภาระทางเศรษฐกิจที่ต้องดูแลรับผิดชอบ เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงไม่อาจหลุดพ้นไปจากสายใยที่ร้อยรัดมัดพันตัวพวกเขาไปได้


พวกเขาเหล่านี้แหละที่สร้าง "โลกมายา" "โลกบันเทิง" ขึ้นมาอันเป็น "โลกสมมติ" ที่มี "ซูเปอร์สตาร์" เป็นตัวแทนของอภิมนุษย์ เป็นตัวแทนของความใฝ่ฝันที่ไม่อาจเป็นจริงได้ของพวกเขา


"ซูเปอร์สตาร์" ในโลกมายา จึงเป็น "ระบบวัฒนธรรม" ที่เหล่าบุรุษทั้งหลายผู้ไม่สมหวังในชีวิตจริงได้ร่วมมือกับเหล่าสตรี ซึ่งถูกทำให้หลงไหลคลั่งไคล้ "ซูเปอร์สตาร์" ซึ่งเป็นอภิมนุษย์จำแลงนี้ สร้างขึ้นมาไม่โดยทางตรงก็โดยทางอ้อม เพื่อชดเชย ทดแทนสิ่งที่ขาดแคลนในหัวใจของพวกตนให้ถมเต็มขึ้นมาบ้าง แม้เป็นบางครั้งบางคราวก็ยังดี เพื่อมีกำลังใจมาเผชิญสู้กับ "ความเป็นจริงทางสังคม" ต่อไป


ไม่แต่เท่านั้น บางกลุ่มบางพวกของพวกเขา และพวกหล่อนก็ยัง สามารถตักตวงผลประโยชน์จากธุรกิจในการสร้าง "ซูเปอร์สตาร์" หรืออภิมนุษย์จำแลงแห่งโลกมายานี้ได้ด้วยซ้ำ ผู้คนส่วนใหญ่พยายามแลเห็น "ความสมบูรณ์อันหาที่ติมิได้ของมนุษย์" ในตัวซูเปอร์สตาร์ของเขาและพยายาม "สร้างภาพ" ของซูเปอร์สตาร์ให้เป็นในสิ่งที่พวกเขาเป็นไม่ได้ โดยได้รับความร่วมมือจากซูเปอร์สตาร์เองด้วย


นี่คือ โศกนาฏกรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ และเป็นที่มาของ "เจ้าลัทธิ" จอมปลอม "สมมติเทพ" และความเชื่อความงมงายต่าง ๆ นานา ซูเปอร์สตาร์มิใช่อภิมนุษย์ แต่อภิมนุษย์คือ บุรุษส่วนน้อยที่สามารถหลุดพ้นจากความเป็น "สามัญชนคนธรรมดา" ได้ในความหมายทางจิตวิญญาณ และในสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป






ปรัชญานักรบ


เธอที่รัก ในวิถีของนักรบนั้น ด้านหนึ่งจะเน้นในเรื่องคุณธรรมความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ยกย่อง "พลัง" (กำลังภายใน) ของมนุษย์ที่เคลื่อนไหวตามหลักเกณท์แห่งเอกภพ จนสามารถประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในเชิงปฏิบัติการได้


ในตัว "พลัง" เอง ไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าเลยเถิดดำรงอยู่ เธอจะเห็นได้ว่า ยามราชสีห์วิ่งทะยานอยู่ในทุ่งกว้าง มีบางครั้งที่มันอาจจะวิ่งเร็วเสียจนแซงเหยื่อที่มันกำลังไล่จับออกไปจนสุดชายขอบทุ่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าตำหนิแต่ประการใด เพราะมันคือ สิงโต คือราชสีห์ผู้ทรงพลังนั่นเอง เพราะฉะนั้น ตราบใดที่คนเราตระหนักถึง ความยิ่งใหญ่ของพลังที่มีอยู่ในตัว ตราบนั้น เราย่อมสามารถใช้ชีวิตเยี่ยงราชสีห์อย่างเปี่ยมไปด้วยพลังได้


ปรัชญานักรบยังให้คุณค่ากับการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ราวกับเป็นวันสุดท้ายของชีวิตตนเอง และเตือนพวกเราว่า จงอย่าไปหมกมุ่นครุ่นคิดกังวลเรื่องในอนาคตอีกสิบปี สิบห้าปีข้างหน้า นักรบรู้ดีว่าเวลาสามารถเปลี่ยนคนได้ ทำให้คนตกต่ำเปลี่ยนธาตุแปรสีได้ แต่ก็ทำให้คนกลับตัวกลับใจ พัฒนายกระดับตัวเองขึ้นมาได้เช่นกัน เวลาสิบปี สิบห้าปี บางทีดูยาวนาน แต่บางทีก็ผ่านไปเร็วดุจมายา ดุจความฝัน ขอเพียงเราเตรียมตัวเตรียมใจเผชิญหน้ากับความตายได้ในทุกขณะจิต ด้วยการตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาทแล้ว เมื่อนั้น กาลเวลาแต่ละขณะที่ผ่านไปจะมีความหมายอย่างยิ่งยวด


เราจะพบว่า ในช่วงแต่ละขณะของกาลเวลานั้น คือ ช่วงแห่งความจริงแท้ของชีวิต มีแต่ปัจจุบัน มีแต่ขณะนี้เท่านั้น ที่เป็นความจริง เป็นของจริง โดยที่การผ่านพ้นไปของกาลเวลาของอดีต หรืออนาคต ล้วนจะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจมาก่อกวนใจเราให้กังวลได้


ถ้าหากทำได้เช่นนั้น คนเราจะสามารถบรรลุเสรีภาพแห่งพฤติกรรมที่เป็นอิสระอย่างแท้จริงของตนได้ และคนเราจะสามารถปลดปล่อยพลังงานอันมหาศาลและสร้างสรรค์ ที่แฝงเร้นอยู่ในตัวเขาออกมาได้






ความงามสง่า และความทรนงของนักรบ


นักรบจะวัดความสง่างามของบุคคลจากบุคลิกภาพของเขา คนเรางามสง่าได้ เพราะความเพียร งามสง่าได้ เพราะสุขุมมีคัมภีรภาพ งามสง่าได้ เพราะการสงบนิ่งไม่นินทาว่าร้ายใคร งามสง่าได้ เพราะการวางตนให้มีจรรยามารยาท ความงามสง่าเหล่านี้ ได้มาจากพฤติกรรมที่มองเห็นได้


ส่วนความงามที่มองเห็นไม่ได้ คือ สมาธิจิต คือการรวมพลังมิให้ความงามสง่าแห่งจิตของนักรบแตกแยกออกจากกัน ความงามสง่าคือการแสดงออกของการนับถือตนเองของนักรบ


ความทระนงของนักรบ มีอยู่ 2 แบบ คือ ความทระนงภายใน กับ ความทระนงภายนอก นักรบผู้ใดที่ไม่มีความทระนงทั้งสองนี้ก็ไม่น่านับถือ ความทระนงเปรียบได้กับใบดาบ หรือคมดาบ ที่ต้องหมั่นลับให้คมและเก็บเข้าฝักอยู่เสมอ ทุกครั้งที่มีโอกาส นักรบจะชักดาบออกมาตรวจตราขจัดรอยคราบไคลบนตัวดาบ แล้วสอดกลับเข้าฝักตามเดิม


ถ้านักรบผู้ใด ชักดาบขึ้นกวัดแกว่งอยู่เป็นนิจ ผู้คนจะไม่อยากเข้าใกล้เขาจะขาดเพื่อน แต่ในทำนองกลับกัน ถ้านักรบผู้ใดไม่เคยชักดาบของเขาออกมากวัดแกว่งเลย เอาแต่ซ่อนไว้ในฝัก ดาบจะขึ้นสนิม


ถ้าหากนักรบมุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตที่งดงาม เพื่อบรรลุเป้าหมายทางจิตวิญญาณของตนแล้ว เขาจำเป็นจะต้องใช้ชีวิตของเขาอย่างระวังตัว มีสติในแต่ละวัน โดยไม่เปิด "ช่องโหว่" .ให้ความเกียจคร้าน ความประมาท ความเฉื่อยชา เข้ามาจู่โจม "ใจ" เขาได้


นักรบจะต้องแลเห็นคุณค่าที่แท้จริงของการใช้ชีวิตอย่างมีสติสำรวมในทุกขณะเช่นนี้ เพื่อให้การใช้เวลาของเขาเป็นไปอย่างมีคุณค่าที่สุด มีประโยชน์ที่สุด อย่างเตรียมพร้อมที่สุด อย่างสมบูรณ์เข้มแข็งที่สุด อย่างที่บุคคลธรรมดาสามัญจะเทียบกับเขาได้ยาก


นักรบจึงต้องดูแลสุขภาพของตนให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะตายได้ทุกเมื่อ และเพื่อเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ในสภาพร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์ที่สุด ที่สามารถนำพลังทั้งหมดที่สะสมไว้ ออกมาใช้ในการปฏิบัติการที่เป็นจริงเมื่อถึงคราวจำเป็นได้ วิถีของนักรบคือ วิถีของคนที่อุทิศทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองมีอยู่ทั้งหมดให้กับ "ทาง" ของตน นักรบแต่ละคน จึงเป็นตัวแทนของตัวนักรบคนนั้น และเป็นตัวแทนของวิถีนักรบด้วย โดยที่ไม่จำเป็นต้องอิงสถาบันหรือระบบใด ๆ เลย





อะไรคือ ปณิธานในชีวิต ?


สันติชาติ ศิษย์รัก

อาจารย์คิดว่า เราอำลาจากกันด้วยวิธีการเขียนจดหมายนี้ จะเป็นการดีแก่เราทั้งคู่ เพราะอาจารย์คงไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไร เมื่อจะต้องกล่าวคำอำลาจากเธอ และอาจารย์ก็ไม่อยากเห็นสีหน้าแสดงความอาลัยอาวรณ์ของเธอด้วย ความเป็นคนมีอารมณ์อ่อนไหวของเธอนั้น มันเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวของเธอนะ สันติชาติ มันทำให้เธอเป็นคนมีคุณธรรมสูง และสามารถซึมซับความสวย ความดีงาม แห่งจิตใจได้ แต่มันก็ช่วยเพิ่มความทุกข์และความปวดร้าว ให้แก่ดวงใจของเธอมากกว่าที่คนธรรมดาจะรู้สึกอีกหลายเท่า และถ้ากล่าวสำหรับการจะพัฒนาระดับพลังฝีมือของเธอแล้ว ความเป็นคนมีอารมณ์อ่อนไหวของเธอนั้น จะผูกพันกับหลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้อย่างลึกซึ้งเกินไป อย่างยึดมั่นจนเกินไป ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความรัก มิตรภาพ หรือความเคียดแค้นชิงชังก็ตาม


เธออย่าเข้าใจผิดนะ ว่าอาจารย์ต้องการให้เธอสลัดทิ้งความเป็นคนมีอารมณ์อ่อนไหวในตัวเธอออกไป ก็อย่างที่อาจารย์เคยบอกเธอแล้วไงว่า สิ่งนี้เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งในตัวของเธอ และจะเป็นปัจจัยสำคัญให้เธอประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้แก่สังคมของเธอในอนาคตได้อย่างแน่นอน เพียงแต่อาจารย์อยากจะบอกให้เธอรับรู้ด้วยว่า เธอจะต้องควบคุมความอ่อนไหวทางอารมณ์ของเธอให้ถูกทางให้จงได้ ด้วยความเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคงไม่เสื่อมคลาย ซึ่งอาจารย์เชื่อว่าเธอต้องทำได้แน่ ๆ เพราะเธอก็มีคุณสมบัติเช่นนี้อยู่ในตัวแล้ว คุณสมบัติที่ตรงกันข้าม 2 อย่าง ราวกับ หยิน และหยาง เช่นนี้ ควรจะได้รับการพัฒนาให้กลมกลืนยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นหนึ่งเดียวในบุคลิกภาพของเธอและเธอย่อมสามารถพัฒนาขึ้นมาได้แน่ ถ้าหากเธอยังมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเอง ฝึกฝนตนเองต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และมีปณิธานที่แน่วแน่ในชีวิต


จากประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศจีน ถ้าเธอได้ลองศึกษาดูเธอจะพบว่า วิถีทางเลือกของชีวิตของคนเรานั้น จะมีอยู่เพียง 4 แบบ เท่านั้นคือ เป็นผู้ปกครอง เป็นผู้ถูกปกครอง เป็นขบถ และเป็นผู้ถือสันโดษ


การเลือกเส้นทางชีวิตเป็นผู้ปกครอง คือการถือเอาโลกธรรม คือ อำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ มาเป็นสารัตถะของชีวิต อย่างตัวเองเป็นฝ่ายกระทำภายในระบบที่เป็นอยู่เดิม


การเลือกเส้นทางชีวิตเป็นผู้ถูกปกครองนั้น เป็นการเลือกอย่างไม่มีทางเลือก อย่างเป็นฝ่ายถูกกระทำ ไม่ว่าจะอยู่ในระบบใด ๆ ก็ตาม


การเลือกเส้นทางชีวิตเป็นขบถนั้น คือการต่อต้านระบบเก่า เพื่อที่จะกลายเป็นผู้ปกครองในระบบใหม่ที่ตนเองจะมีส่วนในการสร้างขึ้นมา


ส่วนการเลือกเส้นทางชีวิตเป็นผู้ถือสันโดษนั้น คือการใช้ชีวิตอย่างเป็นเสรีชนในทางจิตวิญญาณ อยู่กับโลกนี้ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มิได้ยึดติดกับโลกนี้ และมุ่งมั่งที่จะอยู่เหนือโลกนี้


เท่าที่ผ่านมา ชีวิตของเธอดูเหมือนว่าจะไหวพริ้วไปมาระหว่างวิถีแห่งการเป็นขบถ กับวิถีแห่งการเป็นผู้ถือสันโดษ เธอควรจะต้องค้นหาตัวเองให้พบ และเลือกดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องกับสภาวะจิตวิญญาณที่แท้จริงของเธอให้ได้ แน่นอนกว่า อาจารย์ไม่ได้ยืนกรานว่า คนเราทุกคนจะต้องเลือกชีวิตอย่างนั้นหรืออย่างนี้ได้อย่างเดียว จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ผิดวิสัย ผิดธรรมชาติ เนื่องเพราะสภาวะจิตของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน และบทบาท ภาระหน้าที่ ของชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกันด้วย


แต่ทว่า ในช่วงชีวิตสั้น ๆ เพียงไม่กี่สิบปีนี้ของคนเรา คนเราจะมีโอกาสได้เลือกวิถีทางชีวิตของตนเองด้วยตนเองอย่างแท้จริงสักกี่ครั้งกัน? หวังว่า เธอจะต้องทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด อย่างสอดคล้องกับคุณธรรมในใจของตัวเธอเอง


เพราะถึงแม้ชีวิตของคนเราจะสั้นก็จริง แต่ชีวิตของคนเรามิได้สิ้นสุดอยู่ตรงที่ความตายของเรา ในที่สุด เราก็ต้องกลับมาเกิดใหม่อีก มาเล่นละครในบทอื่น ๆ ต่อไปอีก มาโลดแล่นผจญชีวิตอยู่ในรูปแบบอื่น ๆ ต่อไปอีกเช่นนี้ไปอีกนานแสนนาน ตราบเท่าที่เรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้


และตอนที่เราตายไปเพื่อเกิดใหม่นั้น สิ่งที่เราจะนำติดตัวไปได้ไม่ใช่ทั้งเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ หรืออำนาจแต่อย่างใดทั้งสิ้น มีแต่ใจมีแต่จิตวิญญาณ ที่ผ่านประสบการณ์ เรียนรู้บทเรียนต่าง ๆ ของชีวิตหยั่งรู้ความเป็นจริงสัจธรรมแห่งชีวิตที่ตกผลึกเป็นกรรมของตัวเองเท่านั้นที่จะสืบเนื่องต่อไปถึงชีวิตใหม่ข้างหน้า


ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่อาจารย์อยากจะแสดงความคิดเห็นต่อตัวเธออาจารย์รู้ว่าเธอเป็นคนช่างคิด เป็นคนกระหายความรู้ เป็นคนเจ้าความคิด อีกทั้งระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัย ที่เธอได้ร่ำเรียนมาจนถึงระดับสูงสุดนี้ ก็คงบ่มเพาะเธอให้กลายเป็นคนมีการศึกษา มีความรอบรู้ต่าง ๆ มากมาย แต่อาจารย์ก็อยากจะเตือนเธอว่า จงอย่าไปให้ความเชื่อถือแก่ "ความคิด" อย่างสิ้นเชิง หรือย่างมากจนเกินไปนัก เธอจะต้องตระหนักว่า ความคิดก็เหมือนสรรพสิ่งอื่น ๆ ทั้งหลายในโลกนี้ มันไม่เที่ยงแท้ และเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ คนเราจะไม่มีวันที่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ และพบกับความสงบสุขที่แท้แห่งชีวิตได้ ด้วยความคิดหรือการคิดหรอกนะ สันติชาติ


วิถีแห่งชีวิตที่ถูกต้องดีงามต่างหาก การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องดีงามต่างหาก การมีปัญญาหยั่งรู้ชีวิตในทางที่ถูกต้องดีงามต่างหาก ที่จะนำเธอให้สามารถฟันฝ่าความทุกข์ยากของชีวิตได้


ในการฝึกฝนวิทยายุทธ์ต่อจากนี้ไปของเธอก็เช่นกัน เธอจะต้องจำใส่ใจให้ดีนะว่า เป้าหมายขั้นสุดท้ายของการบรรลุการเป็น "จอมยุทธ์" นั้นก็คือ การยกระดับจิตวิญญาณไปสู่ความว่างหรือ สุญตา เธอจงอย่าลืมเป้าหมายอันนี้ถ้าเธอยังไปไม่ถึงเป้าหมายในระดับนี้นั่นก็แสดงว่าเธอยังสามารถพัฒนาพลังฝีมือของเธอให้สูงขึ้นไปได้เรื่อย ๆ


ลาก่อน ศิษย์รัก ไม่ว่าเธอจะไปอยู่ ณ ที่แห่งหนใดก็ตาม ขอให้เธอจงรู้ว่า อาจารย์คนนี้ของเธอมีความปรารถนาดีในตัวเธออยู่เสมอ


จนกว่าเราจะได้พบกันอีก

อาจารย์ของเธอ

No comments: