2020-03-07

ถ้าเธอกำลังมีความทุกข์ ฉันอยากจะบอกกับเธออย่างนี้


1. เวลามีความทุกข์ บางครั้งเรารู้สึกเศร้า จนไม่อยากทำอะไร แต่ความรู้สึกที่ว่า จะยิ่งทำให้เราจมดิ่ง หากอยากพ้นไปจากทุกข์ ให้ฟังเสียงปัญญาในใจ อย่าฟังเสียงกิเลสในใจ ปัญญามีแรงน้อยกว่ากิเลส แม้เรารู้ชัดว่าต้องทำอย่างไรจึงพ้นไปจากความทุกข์ได้ แต่กิเลสมักบงการให้เราประพฤติตามความเคยชิน ยิ่งเชื่อกิเลส หลุมแห่งทุกข์ยิ่งจมลึก แม้ยังเศร้า ยังเหงา ยังเจ็บ แต่เราต้องตั้งสติ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตเสียใหม่

2. เวลามีความทุกข์ ความทุกข์จะยิ่งขยาย หากเราเอาแต่พูด ย้ำคิดย้ำทำเกี่ยวกับความทุกข์ การระบายความในใจให้คนรอบตัวฟังเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยลดความอึดอัด แต่ทุกอย่างต้องทำแต่พอดี ๆ อย่าให้มากเกินไป ไม่เช่นนั้น สิ่งแวดล้อมของความทุกข์จะใหญ่โตมากขึ้น ถึงตอนนั้น เราจะแยกไม่ออกว่า เราทุกข์เพราะปัญหาจริง ๆ หรือเรากำลังซ้ำเติมทุกข์ ด้วยจินตนาการของเราเอง


3. เวลามีความทุกข์ จิตใจคนเรามักอ่อนแอ ใจอ่อนแอ จึงเรียกว่าทุกข์ ความทุกข์ก็เหมือนไข้หวัด คนเราไม่ได้เป็นไข้หวัดตลอดเวลา เวลามีความทุกข์ คนส่วนใหญ่มักลืมข้อนี้ไป หากเราเอาแต่จมอยู่ในความทุกข์ เราย่อมลืมกติกาใหญ่ของธรรมชาติ นั่นคือ สรรพสิ่ง ทั้งรูป ทั้งนาม ทั้งวัตถุ ผู้คน ความรู้สึกนึกคิด สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งเที่ยงแท้ถาวร ทุกข์ได้ก็หายทุกข์ได้ สุขได้ก็เศร้าได้ การที่เราเห็นความชั่วคราวของความทุกข์ แม้ไม่ได้แก้ปัญหาโดยตรง แต่ก็ช่วยให้ความทุกข์ทางใจเบาไปได้มากแล้ว


4. เวลามีความทุกข์ กำลังใจที่ดีที่สุด ไม่ได้มาจากใครที่ไหน เวลามีความทุกข์ เรามักเรียกร้องความเห็นใจจากผู้อื่น บางครั้งการเรียกร้องของเราก็ทำให้เราทุกข์หนักกว่าเดิม เพราะคนอื่นไม่เป็นอย่างใจเรา เพราะเขาไม่เข้าใจเราอย่างที่เราอยากให้เข้าใจ เราทุกข์หนักอยู่แล้ว แต่เรายังสร้างทุกข์ให้ตัวเองเพิ่ม ด้วยความคาดหวังว่าใครต่อใครจะต้องเข้าใจเรา เช่นนี้จึงกลายเป็นทุกข์ซ้อนทุกข์ หนึ่งทุกข์ด้วยปัญหา สองทุกข์ที่ไม่เข้าใจตัวเอง ไม่สามารถวางใจจากปัญหาได้ สามทุกข์เพราะคนอื่นไม่เข้าใจเรา เห็นได้ว่า เวลามีความทุกข์ เราก็ไม่ควรคาดหวังให้ใครดับทุกข์ให้เรา คนอื่นเข้าใจเราหรือไม่ อาจไม่สำคัญเท่าเราเข้าใจตัวเอง เมื่อเราเข้าใจตนเองแล้ว เราอาจไม่ต้องการความเข้าใจจากใครที่ไหนอีกก็ได้

5. เวลามีความทุกข์ เราไม่ควรจมลงไปในทุกข์ นั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว แต่อีกมุมหนึ่ง เวลามีความทุกข์ เราก็ควรยอมรับว่าตนเองกำลังมีความทุกข์ด้วย กล่าวคือการไม่กอดไว้ และไม่ผลักไส ทำความรู้สึกให้เป็นกลางๆ ความทุกข์นี้เป็นของแปลก ยิ่งเราต่อสู้ด้วยการไม่ยอมรับ มันจะยิ่งฝังรากลึก หากเรายอมรับ เปิดใจ ให้อภัยตนเองและพร้อมแก้ไข ความทุกข์ย่อมเบาบางลง ถอดหน้ากากยอดมนุษย์ออกบ้าง เปิดโอกาสให้ตนเองได้เป็นคนธรรมดา ๆ บ้าง ทุกอย่างต้องรู้รักษ์สมดุล

6. เวลามีความทุกข์ ที่จริงในความทุกข์นั้นมีความสวยงามซ่อนอยู่ การเห็นความงามในความทุกข์ จำเป็นต้องมีสติตั้งมั่นในระดับหนึ่ง โลกนี้มีศิลปินมากมาย ที่รู้จักเปลี่ยนความเจ็บช้ำให้กลายเป็นพลังงานสร้างสรรค์ การจะทำเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องมีสองสิ่ง หนึ่งคือ สมาธิ หมายถึงความนิ่งสงบ ภาวะที่ใจหยุดปรุงแต่ง สองคือศิลปะ หมายถึงอุบายแยบคายในการรู้เท่าทันตนเอง อุปนิสัยตนเอง และความสามารถของตนเอง เวลามีความทุกข์ แม้เราหลุดจากทุกข์ไปชั่วขณะ ย่อมมีโอกาสสูงที่เราจะเกิดหนทางใหม่ ๆ วิธีแก้ปัญหาใหม่ ๆ รูปแบบการใช้ชีวิตใหม่ๆ กระบวนการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ไหน ๆ ก็ทุกข์แล้ว ถ้าเป็นไปได้ ก็ใช้มันเป็นฐานกำลัง ให้เกิดการพัฒนาแบบก้าวกระโดดกับชีวิตเสียเลยก็ดี

7. เวลามีความทุกข์ ขอให้จดจำบทเรียนที่ได้จากความทุกข์ แค่จดจำบทเรียนยังไม่พอ บทเรียนนั้น จะต้องส่งเสริมพัฒนาจิตใจของเราให้งดงามยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วย คนจำนวนมาก จดจำความทุกข์ในแง่มุมที่ทำร้ายตนเอง เช่นจำว่า ในเมื่อฉันถูกโกง ต่อไปนี้ฉันจะไม่เชื่อใครอีก หรือจำว่า เงินทองขาดมือเป็นสิ่งเลวร้าย แต่ไปนี้ต้องหวงแหนเงินทองไว้มาก ๆ ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขา ความคิดในลักษณะนี้ไม่เป็นผลดีกับตนเอง เป็นการใช้ความทุกข์เพื่อความงอกงามของกิเลส ความจริงแล้ว ถ้าตั้งทัศนคติให้ถูกต้อง ยิ่งเราผ่านความทุกข์มามาก เราจะยิ่งกลายเป็นคนที่เข้าใจผู้อื่น ยิ่งมีความเมตตากับผู้อื่นมากขึ้น เวลามีความทุกข์ ให้ระวังให้ดี ความทุกข์ทำให้คนบางคนใจร้ายกว่าเดิม มันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นเลย

8. เวลามีความทุกข์ ให้รู้ว่า มุมหนึ่งก็เป็นความโชคดี ความทุกข์ทำให้คนเราได้พัฒนาตนเอง ขอให้เราเลือกหนทางพัฒนาตนเอง มิใช่ซ้ำเติมตนเอง ความทุกข์คือบททดสอบของชีวิต เมื่อเกิดมาแล้ว ใครเลยจะพบเจอแต่คนที่รักและหวังดีกับเรา ไม่มากก็น้อย วันหนึ่งเราต้องเจอผู้ที่ทรยศหักหลังเราบ้าง เมื่อเกิดมาแล้ว มีใครบ้างไม่เหนื่อยกับหน้าที่ ไม่เหนื่อยกับการทำมาหาเลี้ยงชีพ เมื่อเกิดมาแล้ว ใครบ้างไม่พบเจอกับความสูญเสีย ผิดหวัง สิ่งเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นกับเรา เราย่อมรู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าแท้จริงแล้วสิ่งนี้คือสัจธรรม ที่เราทุกคนต้องพบเจอ ใคร ๆก็เจอทั้งนั้น ไม่ว่ายุคใดสมัยใด หากมองให้ลึกแล้วความทุกข์ของคนทุกยุคก็ดูคล้ายกันไปหมด ภาษาธรรมะอาจพูดว่า “เป็นเช่นนั้นเอง” คำว่าเป็นเช่นนั้นเอง หากเราย่อมรับได้ อะไร ๆจะเบา หากเรายอมรับไม่ได้ อะไรๆ จะหนัก คำว่าเป็นเช่นนั้นเอง แท้จริงแล้ว คือหลักใหญ่ใจความของธรรมะทั้งหมด เข้าใจคำว่าเป็นเช่นนั้นเองทั้งหมด ก็หมดเรื่องที่จะสร้างความทุกข์ใจให้เราได้

9. เวลามีความทุกข์ บางครั้ง เราควรจดจำว่า ความทุกข์สร้างความเจ็บช้ำให้เราอย่างไรบ้าง เพื่อที่ว่า หากวันใด เราเห็นคนมีความทุกข์ เราจะได้เข้าใจเขา ช่วยเหลือเขา เพราะแท้จริงแล้ว การช่วยเหลือผู้อื่นก็ไม่ต่างอะไรกับการช่วยเหลือตนเอง เมื่อเรามีจิตใจ มองเห็นความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ เราจึงมีจิตใจ มองเห็นความสุขในความทุกข์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ ใจเขาใจเรา คำ ๆนี้มีความหมายยิ่งใหญ่ หลายครั้งที่เราทุกข์มาก เพราะเราเห็นแต่ความรู้สึกของตนเอง ก้อนความทุกข์มีคุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งคือ ยิ่งมองมัน มันจะยิ่งขยาย ทำไม่รู้ไม่ชี้บ้าง ละเลยความสนใจจากมันไปบ้าง อาจเป็นหนทางดับทุกข์ที่ง่ายกว่า ทุกข์ใจครั้งใด จงออกไปทำให้ผู้อื่นมีความสุข แล้วเราจะได้เห็นพลังของความทุกข์ แม้เรามีความทุกข์ แต่เรายังช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ เราจะได้รับของขวัญอันล้ำค่าที่ชีวิตมอบให้

10. เวลามีความทุกข์ ให้เป็นผู้เห็น อย่าเป็น ผู้เป็น ใจมันจมก็ยกใจขึ้นมาแล้วให้เริ่มสังเกตเมื่อเริ่มสังเกต
เราย่อมเห็นความสภาวะธรรมดาของใจ เห็นทุกข์เกิดขึ้น เห็นทุกข์เคลื่อนไหว เห็นทุกข์ดับไปต่อหน้าต่อตาความทุกข์นี้หาใช่ศัตรูของชีวิต ทว่าทุกข์คือครู คือคุรุผู้ยิ่งใหญ่
เป็นผู้สอนให้มนุษย์รู้จักความหมายของการมีชีวิตอยู่

1 comment:

Warina P. said...

เวลามีความทุกข์ ให้เป็นผู้เห็น อย่าเป็น ผู้เป็น