ย้อนรอยคดีไร่ส้ม-ปมเงินค่าโฆษณา‘อสมท’
เดือนมิถุนายน 2546 บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้ทำสัญญาว่าจ้างนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ให้เป็นพิธีกรแบบรายวัน ดำเนินรายการ “ถึงลูกถึงคน” ในอัตราค่าจ้าง 5,000 บาทต่อตอน
ต่อมาปรากฏว่ารายการได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้ชมรายการ หลังจากนั้น เดือนกุมภาพันธ์ 2547 นายสรยุทธ จึงได้ตั้ง บริษัทไร่ส้ม จำกัด โดยมีนายสรยุทธ เป็นกรรมการผู้จัดการ มี น.ส.อังคณา วัฒนมงคลศิลป์ และ น.ส.สุกัญญา แซ่ลิ้ม เป็นกรรมการบริษัท และเข้าทำสัญญาร่วมผลิตรายการกับ อสมท โดยระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 จนถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2549 บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ได้เข้าทำสัญญากับ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ร่วมผลิตรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ออกอากาศทุกวันเสาร์และอาทิตย์ เวลาประมาณ 12.00-13.00 น. ครั้งละ 60 นาที (รวมเวลาโฆษณา) โดย บมจ.อสมท ตกลงแบ่งเวลาโฆษณาให้ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ได้ครั้งละ 5 นาที ถ้ามีโฆษณาเกินกว่ากำหนด บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ต้องชำระค่าโฆษณาเกินเวลาให้ บมจ.อสมท ในอัตรานาทีละไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาท
นอกจากนี้ได้ทำสัญญาร่วมผลิตรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ออกอากาศทุกวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ เวลาประมาณ 21.30-22.00 น. ครั้งละ 30 นาที (รวมเวลาโฆษณา) โดย บมจ.อสมท ตกลงแบ่งเวลาโฆษณาให้ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ได้ครั้งละ 2 นาที 30 วินาที ถ้ามีโฆษณาเกินกว่ากำหนด บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ต้องชำระค่าโฆษณาเกินเวลาให้ บมจ. อสมท ในอัตรานาทีละไม่ต่ำกว่า 240,000 บาท
เรื่องมาแดงขึ้นเมื่อช่วงปี 2549 สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ.อสมท ตรวจพบว่า “บ.ไร่ส้ม” ค้างรายได้จากการโฆษณาเป็นเงินเกือบ 100 ล้านบาท แม้สุดท้ายทาง “บ.ไร่ส้ม” ได้รีบชำระเงินค่าโฆษณาส่วนเกินให้ อสมท เป็นเงินจำนวนกว่า 138 ล้านบาท เมื่อรวมดอกเบี้ยเป็นเงินกว่า 152 ล้านบาท แม้จะได้รับค่าเสียหายคืนแล้ว แต่ทาง อสมท ก็ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงถึงสองชุดด้วยกัน ผลการตรวจสอบของคณะกรรมการทั้งสองชุดพบว่ามีการกระทำผิดจริง
เมื่อคดีมาถึง ป.ป.ช. ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนของ ป.ป.ช. ปรากฏว่า นางพิชชาภา หรือชนาภา เอี่ยมสะอาด หรือบุญโต เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 สำนักกลยุทธ์การตลาด บมจ.อสมท เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำคิวโฆษณารวมและเป็นผู้รายงานโฆษณาเกินเวลาเพื่อเรียกเก็บเงินจาก บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ได้ให้ความช่วยเหลือ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โดยไม่มีการรายงานการโฆษณาเกินเวลาของ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด เพื่อเรียกเก็บเงิน ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2549
จากการไต่สวนปรากฏว่า นายสรยุทธได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คของธนาคารธนชาต สาขาพระราม 4 จ่ายเงินให้นางพิชชาภา โดยมีการทำเอกสารหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้รวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 739,770.50 บาท เพื่อตอบแทนที่นางพิชชาภามิได้รายงานการโฆษณาเกินเวลาของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด
ต่อมาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2549 นางบุณฑณิก บูลย์สิน รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการตลาด 1 ได้สังเกตพบว่า รายการข่าวเที่ยงคืน มีการออกอากาศล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนด จึงได้ตรวจสอบ และได้เรียกนางพิชชาภามาสอบถามต่อหน้าทุกคนซึ่งนางพิชชาภาก็ได้รับสารภาพต่อหน้าทุกคนว่า บริษัท ไร่ส้ม จำกัด มีการโฆษณาเกิน และไม่มีการรายงานเพื่อเรียกเก็บเงินจริง และนางพิชชาภาได้ใช้น้ำยาลบคำผิด ลบเฉพาะคิวโฆษณาเกินเวลาในส่วนของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ในใบคิวโฆษณารวมของ บมจ.อสมท เพื่อปกปิดความผิดที่ได้กระทำขึ้นตามคำแนะนำของนายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา ธีระเดช พนักงานของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ก่อนที่จะเกิดการตรวจสอบเรื่องนี้ขึ้น
หลังจากนั้น บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ชำระเงินค่าโฆษณาส่วนเกินให้ บมจ.อสมท ในวันที่ 31 สิงหาคม 2549 และวันที่ 15 กันยายน 2549 เป็นเงินจำนวน 103,953,710 บาท โดยบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ขอหักส่วนลด 30% จากยอดทั้งหมดจำนวน 138,790,000 บาท แต่ บมจ.อสมท ไม่ยินยอมให้หักส่วนลด 30% เนื่องจากบริษัท ไร่ส้ม จำกัด มิได้ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำกันไว้และไม่ได้ชำระเงินให้ถูกต้องตามสัญญา บมจ.อสมท จึงคิดดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 138,790,000 บาท นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2548 คิดถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2549 เป็นเงินจำนวน 4,464,197.67 บาท พร้อมภาษีมูลค่าเพิ่ม จำนวน 9,715,300 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น จำนวน 152,969,497.67 บาท ซึ่งบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ก็ยินยอมชำระเงินดังกล่าวให้ บมจ.อสมท. ในวันที่ 20 ตุลาคม 2549
20 กันยายน 2555 ป.ป.ช.ได้มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ชี้มูลความผิดนางพิชชาภา เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 สำนักกลยุทธ์การตลาด บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) มีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรงและมีมูลความผิดทางอาญา และนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กก.ผจก.บริษัท ไร่ส้ม จำกัด, น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่บริษัท ไร่ส้ม จำกัด, บริษัท ไร่ส้ม จำกัด มีมูลความผิดทางอาญา ฐานสนับสนุนพนักงานกระทำความผิด
คดีดังกล่าวหลังจากอัยการสูงสุดได้รับสำนวน ป.ป.ช.ที่ชี้มูลความผิดแล้ว ต่อมาวันที่ 5 กันยายน 2556 อัยการสูงสุดได้แจ้งข้อไม่สมบูรณ์ เพื่อให้คณะทำงานอัยการ และ ป.ป.ช.ร่วมกันรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์ ต่อมาคณะทำงานผู้แทนทั้งฝ่ายอัยการ และป.ป.ช. รวบรวมพยานหลักฐานครบถ้วนแล้ว จึงเสนออัยการสูงสุด ซึ่งอัยการสูงสุดเห็นว่าคดีมีพยานหลักฐานฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา จึงมีคำสั่งฟ้องนางพิชชาภา หรือชนาภา เอี่ยมสะอาด หรือบุญโต เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 สำนักกลยุทธ์การตลาด บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน), นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมการผู้จัดการบริษัท ไร่ส้ม จำกัด, บริษัทไร่ส้ม จำกัด และ น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ผู้ถูกกล่าวหา ตามความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 8, 11 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และ 91
สำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดพนักงานในองค์การฯ มาตรา 6 ฐานพนักงานเรียกรับสินบน ระวางโทษจำคุก 5-20 ปี หรือตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต และปรับตั้งแต่ 2,000-40,000 บาท, มาตรา 8 ฐานเป็นพนักงานใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต โทษจำคุก 5-20 ปี หรือตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 2,000-40,000 บาท และมาตรา 11 ฐานพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำคุก 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากนางพิชชาภา หรือชนาภา กระทำผิด ศาลก็จะใช้ดุลพินิจลงโทษตามอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้
ส่วนนายสรยุทธ, น.ส.มณฑา, บริษัทไร่ส้ม เมื่อไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ หากพบว่ากระทำผิดจริง ก็ต้องรับโทษ 2 ใน 3 ของอัตราโทษข้างต้น ฐานร่วมกันสนับสนุนเจ้าหน้าที่กระทำความผิด
เดือนมิถุนายน 2546 บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้ทำสัญญาว่าจ้างนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ให้เป็นพิธีกรแบบรายวัน ดำเนินรายการ “ถึงลูกถึงคน” ในอัตราค่าจ้าง 5,000 บาทต่อตอน
ต่อมาปรากฏว่ารายการได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้ชมรายการ หลังจากนั้น เดือนกุมภาพันธ์ 2547 นายสรยุทธ จึงได้ตั้ง บริษัทไร่ส้ม จำกัด โดยมีนายสรยุทธ เป็นกรรมการผู้จัดการ มี น.ส.อังคณา วัฒนมงคลศิลป์ และ น.ส.สุกัญญา แซ่ลิ้ม เป็นกรรมการบริษัท และเข้าทำสัญญาร่วมผลิตรายการกับ อสมท โดยระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 จนถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2549 บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ได้เข้าทำสัญญากับ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ร่วมผลิตรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ออกอากาศทุกวันเสาร์และอาทิตย์ เวลาประมาณ 12.00-13.00 น. ครั้งละ 60 นาที (รวมเวลาโฆษณา) โดย บมจ.อสมท ตกลงแบ่งเวลาโฆษณาให้ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ได้ครั้งละ 5 นาที ถ้ามีโฆษณาเกินกว่ากำหนด บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ต้องชำระค่าโฆษณาเกินเวลาให้ บมจ.อสมท ในอัตรานาทีละไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาท
นอกจากนี้ได้ทำสัญญาร่วมผลิตรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ออกอากาศทุกวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ เวลาประมาณ 21.30-22.00 น. ครั้งละ 30 นาที (รวมเวลาโฆษณา) โดย บมจ.อสมท ตกลงแบ่งเวลาโฆษณาให้ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ได้ครั้งละ 2 นาที 30 วินาที ถ้ามีโฆษณาเกินกว่ากำหนด บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ต้องชำระค่าโฆษณาเกินเวลาให้ บมจ. อสมท ในอัตรานาทีละไม่ต่ำกว่า 240,000 บาท
เรื่องมาแดงขึ้นเมื่อช่วงปี 2549 สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ.อสมท ตรวจพบว่า “บ.ไร่ส้ม” ค้างรายได้จากการโฆษณาเป็นเงินเกือบ 100 ล้านบาท แม้สุดท้ายทาง “บ.ไร่ส้ม” ได้รีบชำระเงินค่าโฆษณาส่วนเกินให้ อสมท เป็นเงินจำนวนกว่า 138 ล้านบาท เมื่อรวมดอกเบี้ยเป็นเงินกว่า 152 ล้านบาท แม้จะได้รับค่าเสียหายคืนแล้ว แต่ทาง อสมท ก็ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงถึงสองชุดด้วยกัน ผลการตรวจสอบของคณะกรรมการทั้งสองชุดพบว่ามีการกระทำผิดจริง เมื่อคดีมาถึง ป.ป.ช. ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนของ ป.ป.ช. ปรากฏว่า นางพิชชาภา หรือชนาภา เอี่ยมสะอาด หรือบุญโต เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 สำนักกลยุทธ์การตลาด บมจ.อสมท เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำคิวโฆษณารวมและเป็นผู้รายงานโฆษณาเกินเวลาเพื่อเรียกเก็บเงินจาก บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ได้ให้ความช่วยเหลือ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โดยไม่มีการรายงานการโฆษณาเกินเวลาของ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด เพื่อเรียกเก็บเงิน ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2549 จากการไต่สวนปรากฏว่า นายสรยุทธได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คของธนาคารธนชาต สาขาพระราม 4 จ่ายเงินให้นางพิชชาภา โดยมีการทำเอกสารหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้รวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 739,770.50 บาท เพื่อตอบแทนที่นางพิชชาภามิได้รายงานการโฆษณาเกินเวลาของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ต่อมาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2549 นางบุณฑณิก บูลย์สิน รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการตลาด 1 ได้สังเกตพบว่า รายการข่าวเที่ยงคืน มีการออกอากาศล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนด จึงได้ตรวจสอบ และได้เรียกนางพิชชาภามาสอบถามต่อหน้าทุกคนซึ่งนางพิชชาภาก็ได้รับสารภาพต่อหน้าทุกคนว่า บริษัท ไร่ส้ม จำกัด มีการโฆษณาเกิน และไม่มีการรายงานเพื่อเรียกเก็บเงินจริง และนางพิชชาภาได้ใช้น้ำยาลบคำผิด ลบเฉพาะคิวโฆษณาเกินเวลาในส่วนของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ในใบคิวโฆษณารวมของ บมจ.อสมท เพื่อปกปิดความผิดที่ได้กระทำขึ้นตามคำแนะนำของนายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา ธีระเดช พนักงานของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ก่อนที่จะเกิดการตรวจสอบเรื่องนี้ขึ้น หลังจากนั้น บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ชำระเงินค่าโฆษณาส่วนเกินให้ บมจ.อสมท ในวันที่ 31 สิงหาคม 2549 และวันที่ 15 กันยายน 2549 เป็นเงินจำนวน 103,953,710 บาท โดยบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ขอหักส่วนลด 30% จากยอดทั้งหมดจำนวน 138,790,000 บาท แต่ บมจ.อสมท ไม่ยินยอมให้หักส่วนลด 30% เนื่องจากบริษัท ไร่ส้ม จำกัด มิได้ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำกันไว้และไม่ได้ชำระเงินให้ถูกต้องตามสัญญา บมจ.อสมท จึงคิดดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 138,790,000 บาท นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2548 คิดถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2549 เป็นเงินจำนวน 4,464,197.67 บาท พร้อมภาษีมูลค่าเพิ่ม จำนวน 9,715,300 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น จำนวน 152,969,497.67 บาท ซึ่งบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ก็ยินยอมชำระเงินดังกล่าวให้ บมจ.อสมท. ในวันที่ 20 ตุลาคม 2549 20 กันยายน 2555 ป.ป.ช.ได้มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ชี้มูลความผิดนางพิชชาภา เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 สำนักกลยุทธ์การตลาด บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) มีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรงและมีมูลความผิดทางอาญา และนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กก.ผจก.บริษัท ไร่ส้ม จำกัด, น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่บริษัท ไร่ส้ม จำกัด, บริษัท ไร่ส้ม จำกัด มีมูลความผิดทางอาญา ฐานสนับสนุนพนักงานกระทำความผิด คดีดังกล่าวหลังจากอัยการสูงสุดได้รับสำนวน ป.ป.ช.ที่ชี้มูลความผิดแล้ว ต่อมาวันที่ 5 กันยายน 2556 อัยการสูงสุดได้แจ้งข้อไม่สมบูรณ์ เพื่อให้คณะทำงานอัยการ และ ป.ป.ช.ร่วมกันรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์ ต่อมาคณะทำงานผู้แทนทั้งฝ่ายอัยการ และป.ป.ช. รวบรวมพยานหลักฐานครบถ้วนแล้ว จึงเสนออัยการสูงสุด ซึ่งอัยการสูงสุดเห็นว่าคดีมีพยานหลักฐานฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา จึงมีคำสั่งฟ้องนางพิชชาภา หรือชนาภา เอี่ยมสะอาด หรือบุญโต เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 สำนักกลยุทธ์การตลาด บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน), นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมการผู้จัดการบริษัท ไร่ส้ม จำกัด, บริษัทไร่ส้ม จำกัด และ น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ผู้ถูกกล่าวหา ตามความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 8, 11 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และ 91 สำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดพนักงานในองค์การฯ มาตรา 6 ฐานพนักงานเรียกรับสินบน ระวางโทษจำคุก 5-20 ปี หรือตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต และปรับตั้งแต่ 2,000-40,000 บาท, มาตรา 8 ฐานเป็นพนักงานใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต โทษจำคุก 5-20 ปี หรือตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 2,000-40,000 บาท และมาตรา 11 ฐานพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำคุก 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากนางพิชชาภา หรือชนาภา กระทำผิด ศาลก็จะใช้ดุลพินิจลงโทษตามอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้ ส่วนนายสรยุทธ, น.ส.มณฑา, บริษัทไร่ส้ม เมื่อไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ หากพบว่ากระทำผิดจริง ก็ต้องรับโทษ 2 ใน 3 ของอัตราโทษข้างต้น ฐานร่วมกันสนับสนุนเจ้าหน้าที่กระทำความผิด
เรื่องมาแดงขึ้นเมื่อช่วงปี 2549 สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ.อสมท ตรวจพบว่า “บ.ไร่ส้ม” ค้างรายได้จากการโฆษณาเป็นเงินเกือบ 100 ล้านบาท แม้สุดท้ายทาง “บ.ไร่ส้ม” ได้รีบชำระเงินค่าโฆษณาส่วนเกินให้ อสมท เป็นเงินจำนวนกว่า 138 ล้านบาท เมื่อรวมดอกเบี้ยเป็นเงินกว่า 152 ล้านบาท แม้จะได้รับค่าเสียหายคืนแล้ว แต่ทาง อสมท ก็ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงถึงสองชุดด้วยกัน ผลการตรวจสอบของคณะกรรมการทั้งสองชุดพบว่ามีการกระทำผิดจริง เมื่อคดีมาถึง ป.ป.ช. ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนของ ป.ป.ช. ปรากฏว่า นางพิชชาภา หรือชนาภา เอี่ยมสะอาด หรือบุญโต เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 สำนักกลยุทธ์การตลาด บมจ.อสมท เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำคิวโฆษณารวมและเป็นผู้รายงานโฆษณาเกินเวลาเพื่อเรียกเก็บเงินจาก บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ได้ให้ความช่วยเหลือ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โดยไม่มีการรายงานการโฆษณาเกินเวลาของ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด เพื่อเรียกเก็บเงิน ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2549 จากการไต่สวนปรากฏว่า นายสรยุทธได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คของธนาคารธนชาต สาขาพระราม 4 จ่ายเงินให้นางพิชชาภา โดยมีการทำเอกสารหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้รวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 739,770.50 บาท เพื่อตอบแทนที่นางพิชชาภามิได้รายงานการโฆษณาเกินเวลาของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ต่อมาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2549 นางบุณฑณิก บูลย์สิน รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการตลาด 1 ได้สังเกตพบว่า รายการข่าวเที่ยงคืน มีการออกอากาศล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนด จึงได้ตรวจสอบ และได้เรียกนางพิชชาภามาสอบถามต่อหน้าทุกคนซึ่งนางพิชชาภาก็ได้รับสารภาพต่อหน้าทุกคนว่า บริษัท ไร่ส้ม จำกัด มีการโฆษณาเกิน และไม่มีการรายงานเพื่อเรียกเก็บเงินจริง และนางพิชชาภาได้ใช้น้ำยาลบคำผิด ลบเฉพาะคิวโฆษณาเกินเวลาในส่วนของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ในใบคิวโฆษณารวมของ บมจ.อสมท เพื่อปกปิดความผิดที่ได้กระทำขึ้นตามคำแนะนำของนายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา ธีระเดช พนักงานของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ก่อนที่จะเกิดการตรวจสอบเรื่องนี้ขึ้น หลังจากนั้น บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ชำระเงินค่าโฆษณาส่วนเกินให้ บมจ.อสมท ในวันที่ 31 สิงหาคม 2549 และวันที่ 15 กันยายน 2549 เป็นเงินจำนวน 103,953,710 บาท โดยบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ขอหักส่วนลด 30% จากยอดทั้งหมดจำนวน 138,790,000 บาท แต่ บมจ.อสมท ไม่ยินยอมให้หักส่วนลด 30% เนื่องจากบริษัท ไร่ส้ม จำกัด มิได้ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำกันไว้และไม่ได้ชำระเงินให้ถูกต้องตามสัญญา บมจ.อสมท จึงคิดดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 138,790,000 บาท นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2548 คิดถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2549 เป็นเงินจำนวน 4,464,197.67 บาท พร้อมภาษีมูลค่าเพิ่ม จำนวน 9,715,300 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น จำนวน 152,969,497.67 บาท ซึ่งบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ก็ยินยอมชำระเงินดังกล่าวให้ บมจ.อสมท. ในวันที่ 20 ตุลาคม 2549 20 กันยายน 2555 ป.ป.ช.ได้มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ชี้มูลความผิดนางพิชชาภา เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 สำนักกลยุทธ์การตลาด บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) มีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรงและมีมูลความผิดทางอาญา และนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กก.ผจก.บริษัท ไร่ส้ม จำกัด, น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่บริษัท ไร่ส้ม จำกัด, บริษัท ไร่ส้ม จำกัด มีมูลความผิดทางอาญา ฐานสนับสนุนพนักงานกระทำความผิด คดีดังกล่าวหลังจากอัยการสูงสุดได้รับสำนวน ป.ป.ช.ที่ชี้มูลความผิดแล้ว ต่อมาวันที่ 5 กันยายน 2556 อัยการสูงสุดได้แจ้งข้อไม่สมบูรณ์ เพื่อให้คณะทำงานอัยการ และ ป.ป.ช.ร่วมกันรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์ ต่อมาคณะทำงานผู้แทนทั้งฝ่ายอัยการ และป.ป.ช. รวบรวมพยานหลักฐานครบถ้วนแล้ว จึงเสนออัยการสูงสุด ซึ่งอัยการสูงสุดเห็นว่าคดีมีพยานหลักฐานฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา จึงมีคำสั่งฟ้องนางพิชชาภา หรือชนาภา เอี่ยมสะอาด หรือบุญโต เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 สำนักกลยุทธ์การตลาด บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน), นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมการผู้จัดการบริษัท ไร่ส้ม จำกัด, บริษัทไร่ส้ม จำกัด และ น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ผู้ถูกกล่าวหา ตามความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 8, 11 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และ 91 สำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดพนักงานในองค์การฯ มาตรา 6 ฐานพนักงานเรียกรับสินบน ระวางโทษจำคุก 5-20 ปี หรือตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต และปรับตั้งแต่ 2,000-40,000 บาท, มาตรา 8 ฐานเป็นพนักงานใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต โทษจำคุก 5-20 ปี หรือตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 2,000-40,000 บาท และมาตรา 11 ฐานพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำคุก 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากนางพิชชาภา หรือชนาภา กระทำผิด ศาลก็จะใช้ดุลพินิจลงโทษตามอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้ ส่วนนายสรยุทธ, น.ส.มณฑา, บริษัทไร่ส้ม เมื่อไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ หากพบว่ากระทำผิดจริง ก็ต้องรับโทษ 2 ใน 3 ของอัตราโทษข้างต้น ฐานร่วมกันสนับสนุนเจ้าหน้าที่กระทำความผิด
รายละเอียดเพิ่มเติม (จากอีกแหล่งข่าว)
บทเรียน สรยุทธ สอนสื่อ เมื่อถึงคราวต้องพิจารณาตัวเอง
หลังจากเป็นมหากาพย์มาอย่างยาวนาน ล่าสุด ได้เดินทางมาถึงศาลชั้นต้นแล้ว สำหรับ คดีไร่ส้ม และนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรนักเล่าข่าวฝีปากกล้า ที่ครั้งหนึ่งถูกยกย่องว่าเปรียบเสมือน"นายกรัฐมนตรี" คนที่สองของประเทศ ไม่ว่าจะพูด หยิบจับสิ่งใด ก็มีคนฟังและหันมอง...
วานนี้ (29 ก.พ.59) ได้มีข่าวใหญ่ที่คนทั่วไปให้ความสนใจในตัวนักเล่าข่าวชื่อดังอีกครั้ง เมื่อศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสรยุทธ ในฐานะ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไร่ส้ม และเจ้าหน้าที่บริษัท รวมทั้ง นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท เป็นจำเลย
คดีนี้ ฟ้องโจทก์ ระบุว่า ช่วงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548-28 เมษายน 2549 นางพิชชาภา ได้จัดทำคิวโฆษณารวมในรายการ "คุยคุ้ยข่าว" ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลา เพื่อเรียกเก็บเงินจากบริษัทไร่ส้ม 17 ครั้ง ทำให้ อสมท เสียหาย 138 ล้านบาทเศษ และยังเรียกรับเงินกว่า 600,000 บาท จากนายสรยุทธ และพวก เป็นการตอบแทน
ศาลอ่านคำพิพากษาจำคุก นายสรยุทธ ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้มีการกระทำความผิดตามที่ฟ้อง จำคุก 20 ปี ลดเหลือ 13 ปี 4 เดือน ปรับบริษัทไร่ส้ม จาก 120,000 ลดเหลือ 80,000 บาท ไม่รอลงอาญา ส่วน นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด จำเลยที่ 1 จำคุก 30 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือจำคุก 20 ปี
วานนี้ (29 ก.พ.59) ได้มีข่าวใหญ่ที่คนทั่วไปให้ความสนใจในตัวนักเล่าข่าวชื่อดังอีกครั้ง เมื่อศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสรยุทธ ในฐานะ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไร่ส้ม และเจ้าหน้าที่บริษัท รวมทั้ง นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท เป็นจำเลย
คดีนี้ ฟ้องโจทก์ ระบุว่า ช่วงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548-28 เมษายน 2549 นางพิชชาภา ได้จัดทำคิวโฆษณารวมในรายการ "คุยคุ้ยข่าว" ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลา เพื่อเรียกเก็บเงินจากบริษัทไร่ส้ม 17 ครั้ง ทำให้ อสมท เสียหาย 138 ล้านบาทเศษ และยังเรียกรับเงินกว่า 600,000 บาท จากนายสรยุทธ และพวก เป็นการตอบแทน
ศาลอ่านคำพิพากษาจำคุก นายสรยุทธ ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้มีการกระทำความผิดตามที่ฟ้อง จำคุก 20 ปี ลดเหลือ 13 ปี 4 เดือน ปรับบริษัทไร่ส้ม จาก 120,000 ลดเหลือ 80,000 บาท ไม่รอลงอาญา ส่วน นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด จำเลยที่ 1 จำคุก 30 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือจำคุก 20 ปี
ย้อนดูไทม์ไลน์ ก่อนถึงคำพิพากษาศาลชั้นต้น
"อาสาม ไทม์แมชชีน" แห่ง ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะขอย้อนเหตุการณ์ ปฐมบทแห่งคดีว่าเกิดขึ้นเมื่อ...
ช่วงเดือนสิงหาคม 2549 จากแหล่งข่าวในวงการมีเดีย ว่า บริษัท ไร่ส้ม จำกัด และ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้มีการแบ่งกันขายโฆษณาเพื่อหารายได้ ในรายการ "คุยคุ้ยข่าว" และ "คุยคุ้ยข่าวสุดสัปดาห์" และมีรายงานว่าได้มีการขายโฆษณาเกินเวลา ตั้งแต่ต้นปี 49 แต่ บริษัทไร่ส้ม กลับยังไม่ได้ชำระเงิน โดยขอแบ่งจ่ายเป็น 3 งวด ด้วยเหตุนี้ จึงมีกระแสข่าวว่าคนใน อสมท จึงไม่พอใจ
เมื่อเริ่มมีข่าว...กลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ อสมท จำกัด (มหาชน) ก็สวมบทบาทเจ้าภาพงาน ออกมาเปิดเผยว่า "เสี่ยสรยุทธ" ไม่ส่งรายได้จากโฆษณาเข้า อสมท เป็นเงินกว่า 50-60 ล้าน กระทั่งมีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง
กันยายน 2549 มีข่าวลือหนาหูว่า อสมท จะปลดรายการชื่อดังออกจากผัง แต่ทาง อสมท ก็ออกมายืนยันว่าไม่จริงและเดินหน้าต่อ
ตุลาคม 2549 นายชิตณรงค์ คุณะกฤดาธิการ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท ออกมายืนยันว่าบริษัท ไร่ส้ม ทยอยจ่ายเงินในส่วนที่คลาดเคลื่อน กว่า 80-90 ล้านบาทแล้ว พร้อมบอกว่าหากพบว่ามีความผิดจริง จะส่งเรื่องไปยัง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
พฤศจิกายน 2549 มีรายงานว่า ได้มีจดหมายร้องเรียนส่งไปยัง สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องขอให้ตรวจสอบกรณีทุจริต ในบริษัท อสมท จากผู้ถือหุ้นของบริษัท อสมท ซึ่งเนื้อหาจดหมายระบุถึงพฤติกรรมการทุจริตของคนใน อสมท โดยร่วมมือกับบริษัทเอกชนมาแสวงหาผลประโยชน์จาก อสมท จนเกิดผลกระทบกับผู้ถือหุ้น ซึ่งมี ก.คลัง รวมอยู่ด้วย
ธันวาคม อสมท แต่งตั้ง พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธานสอบสวนข้อเท็จจริง
มกราคม 2550 พล.ต.อ.ประทิน ระบุ จากการสอบสวนยังสาวไม่ถึงคนนอก โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดับผู้ใหญ่ปล่อยโฆษณาเกินเวลา สร้างความเสียหายกว่า 100 ล้าน
กุมภาพันธ์ 2550 พล.ต.อ.ประทิน สรุปผลสอบคดีไร่ส้มโฆษณาเกินสัญญา อสมท แม้จะคืนเงิน 138 ล้านบาทแล้ว แต่ถือว่ากระทำผิด พร้อมตรวจสอบย้อนหลัง ถึงปี 2547
หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็หายเงียบไปพักใหญ่ กระทั่ง 31 ต.ค.50 เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย บมจ.อสมท ในฐานะตัวแทนผู้เสียหายได้แจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทไร่ส้ม และเจ้าหน้าที่ อสมท บางราย
"เชื่อมั่นว่า กรณีไร่ส้ม จะไม่ส่งผลกระทบกับผู้สนับสนุนรายการของนายสรยุทธ ซึ่งมีการดำเนินการอยู่ 4 รายการ" นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์ รองประธานฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 กล่าว
ต่อมาทางตำรวจได้ชงเรื่องนี้ไปยัง ป.ป.ช. และวันที่ 20 ก.ย.55 นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช. แถลงผลการประชุมของ ป.ป.ช.ในกรณีบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าการกระทำของนางพิชชาภา มีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญามาตรา 6 มาตรา 8 และมาตรา 11 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 และ น.ส.อัญญา อู่ไทย หัวหน้าส่วนธุรการระดับ 6 ฝ่ายบริการลูกค้าได้ทำการประมาทเลินเล่อต่อหน้าที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ มีมูลความผิดทางวินัย แต่ขาดเจตนาจึงให้ข้อกล่าวหาทางอาญาตกไป
นายกล้านรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนความผิด นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา น.ส.มณฑา ธีรเดช และบริษัทไร่ส้ม ป.ป.ช.เห็นว่ามีมูลความผิดฐานสนับสนุนพนักงานกระทำความผิดตามกฎหมายอาญา โดยจะส่งรายงาน และความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยและให้ส่งเอกสารรายงานฐานความผิดดังกล่าวข้างต้น ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต พ.ศ.2542 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 โดย ป.ป.ช. จะมีมติ ส่งเรื่องให้อัยการ เพื่อส่งฟ้องต่อศาลให้ดำเนินคดีอาญาต่อไป
หลัง ป.ป.ช. มีมติ องค์กรสื่อฯ หลายแห่งก็ได้กดดันให้ นายสรยุทธ ยุติบทบาทหน้าที่สื่อมวลชน แต่นายสรยุทธ ก็ได้ยืนยันว่า เงิน 138 ล้าน ได้มีการจ่ายคืนหมดแล้ว และได้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยแทน
กระทั่ง วันที่ 30 ม.ค.58 อัยการได้ส่งฟ้อง และวานนี้ (29 ก.พ.59) ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาจำคุก นายสรยุทธ ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้มีการกระทำความผิดตามที่ฟ้อง จำคุก 20 ปี ลดเหลือ 13 ปี 4 เดือน ปรับบริษัทไร่ส้ม จาก 120,000 ลดเหลือ 80,000 บาท ไม่รอลงอาญา ส่วน นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด จำเลยที่ 1 จำคุก 30 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษ เหลือจำคุก 20 ปี
"อาสาม ไทม์แมชชีน" แห่ง ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะขอย้อนเหตุการณ์ ปฐมบทแห่งคดีว่าเกิดขึ้นเมื่อ...
ช่วงเดือนสิงหาคม 2549 จากแหล่งข่าวในวงการมีเดีย ว่า บริษัท ไร่ส้ม จำกัด และ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้มีการแบ่งกันขายโฆษณาเพื่อหารายได้ ในรายการ "คุยคุ้ยข่าว" และ "คุยคุ้ยข่าวสุดสัปดาห์" และมีรายงานว่าได้มีการขายโฆษณาเกินเวลา ตั้งแต่ต้นปี 49 แต่ บริษัทไร่ส้ม กลับยังไม่ได้ชำระเงิน โดยขอแบ่งจ่ายเป็น 3 งวด ด้วยเหตุนี้ จึงมีกระแสข่าวว่าคนใน อสมท จึงไม่พอใจ
เมื่อเริ่มมีข่าว...กลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ อสมท จำกัด (มหาชน) ก็สวมบทบาทเจ้าภาพงาน ออกมาเปิดเผยว่า "เสี่ยสรยุทธ" ไม่ส่งรายได้จากโฆษณาเข้า อสมท เป็นเงินกว่า 50-60 ล้าน กระทั่งมีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง
กันยายน 2549 มีข่าวลือหนาหูว่า อสมท จะปลดรายการชื่อดังออกจากผัง แต่ทาง อสมท ก็ออกมายืนยันว่าไม่จริงและเดินหน้าต่อ
ตุลาคม 2549 นายชิตณรงค์ คุณะกฤดาธิการ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท ออกมายืนยันว่าบริษัท ไร่ส้ม ทยอยจ่ายเงินในส่วนที่คลาดเคลื่อน กว่า 80-90 ล้านบาทแล้ว พร้อมบอกว่าหากพบว่ามีความผิดจริง จะส่งเรื่องไปยัง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
พฤศจิกายน 2549 มีรายงานว่า ได้มีจดหมายร้องเรียนส่งไปยัง สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องขอให้ตรวจสอบกรณีทุจริต ในบริษัท อสมท จากผู้ถือหุ้นของบริษัท อสมท ซึ่งเนื้อหาจดหมายระบุถึงพฤติกรรมการทุจริตของคนใน อสมท โดยร่วมมือกับบริษัทเอกชนมาแสวงหาผลประโยชน์จาก อสมท จนเกิดผลกระทบกับผู้ถือหุ้น ซึ่งมี ก.คลัง รวมอยู่ด้วย
ธันวาคม อสมท แต่งตั้ง พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธานสอบสวนข้อเท็จจริง
มกราคม 2550 พล.ต.อ.ประทิน ระบุ จากการสอบสวนยังสาวไม่ถึงคนนอก โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดับผู้ใหญ่ปล่อยโฆษณาเกินเวลา สร้างความเสียหายกว่า 100 ล้าน
กุมภาพันธ์ 2550 พล.ต.อ.ประทิน สรุปผลสอบคดีไร่ส้มโฆษณาเกินสัญญา อสมท แม้จะคืนเงิน 138 ล้านบาทแล้ว แต่ถือว่ากระทำผิด พร้อมตรวจสอบย้อนหลัง ถึงปี 2547
หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็หายเงียบไปพักใหญ่ กระทั่ง 31 ต.ค.50 เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย บมจ.อสมท ในฐานะตัวแทนผู้เสียหายได้แจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทไร่ส้ม และเจ้าหน้าที่ อสมท บางราย
"เชื่อมั่นว่า กรณีไร่ส้ม จะไม่ส่งผลกระทบกับผู้สนับสนุนรายการของนายสรยุทธ ซึ่งมีการดำเนินการอยู่ 4 รายการ" นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์ รองประธานฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 กล่าว
ต่อมาทางตำรวจได้ชงเรื่องนี้ไปยัง ป.ป.ช. และวันที่ 20 ก.ย.55 นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช. แถลงผลการประชุมของ ป.ป.ช.ในกรณีบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าการกระทำของนางพิชชาภา มีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญามาตรา 6 มาตรา 8 และมาตรา 11 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 และ น.ส.อัญญา อู่ไทย หัวหน้าส่วนธุรการระดับ 6 ฝ่ายบริการลูกค้าได้ทำการประมาทเลินเล่อต่อหน้าที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ มีมูลความผิดทางวินัย แต่ขาดเจตนาจึงให้ข้อกล่าวหาทางอาญาตกไป
นายกล้านรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนความผิด นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา น.ส.มณฑา ธีรเดช และบริษัทไร่ส้ม ป.ป.ช.เห็นว่ามีมูลความผิดฐานสนับสนุนพนักงานกระทำความผิดตามกฎหมายอาญา โดยจะส่งรายงาน และความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยและให้ส่งเอกสารรายงานฐานความผิดดังกล่าวข้างต้น ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต พ.ศ.2542 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 โดย ป.ป.ช. จะมีมติ ส่งเรื่องให้อัยการ เพื่อส่งฟ้องต่อศาลให้ดำเนินคดีอาญาต่อไป
หลัง ป.ป.ช. มีมติ องค์กรสื่อฯ หลายแห่งก็ได้กดดันให้ นายสรยุทธ ยุติบทบาทหน้าที่สื่อมวลชน แต่นายสรยุทธ ก็ได้ยืนยันว่า เงิน 138 ล้าน ได้มีการจ่ายคืนหมดแล้ว และได้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยแทน
กระทั่ง วันที่ 30 ม.ค.58 อัยการได้ส่งฟ้อง และวานนี้ (29 ก.พ.59) ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาจำคุก นายสรยุทธ ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้มีการกระทำความผิดตามที่ฟ้อง จำคุก 20 ปี ลดเหลือ 13 ปี 4 เดือน ปรับบริษัทไร่ส้ม จาก 120,000 ลดเหลือ 80,000 บาท ไม่รอลงอาญา ส่วน นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด จำเลยที่ 1 จำคุก 30 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษ เหลือจำคุก 20 ปี
สมาคมนักข่าวฯ รังเก่าสรยุทธ แนะยุติจ้อหน้าจอชั่วคราว สังคมจะเป็นผู้ตัดสิน
ในแง่คดี ก็คงต้องรอดูกันต่อไป แต่ในส่วนของภาคสื่อมวลชน นายวันชัย วงศ์มีชัย นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ถึงกรณีคดีไร่ส้มว่า ทางสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ยังไม่ได้มีการหารือถึงประเด็นดังกล่าว แต่เบื้องต้น ทางสมาคมยังไม่มีแนวทางที่จะออกมากดดัน นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา แต่อย่างใด เนื่องจากสมาคมนักข่าวฯ เชื่อมั่นว่า ผู้คนในสังคมสามารถพิจารณาแยกแยะความผิดชอบชั่วดีได้
โดยครั้งหนึ่ง นายสรยุทธ เคยชี้แจงผ่านรายการเรื่องเล่าเช้านี้ไว้ว่า “คดีความที่เกิดขึ้นเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจของบริษัท และไม่มีส่วนกระทบใดๆ ต่อการทำรายการของผม ซึ่งนำเสนอข้อมูลตามความเป็นจริงเพื่อประโยชน์ต่อสังคม โดยไม่บิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันเป็นจรรยาบรรณสำคัญในการนำเสนอที่ผมยึดถือมาตลอดชีวิตการทำงาน”
ด้านนายกสมาคมนักข่าวฯ แสดงทัศนะในเรื่องนี้ว่า บริษัทที่นายสรยุทธทำธุรกิจนั้น เป็นองค์กรที่มีหน้าที่หลัก คือ การผลิตสื่อ และเป็นสื่อมวลชนที่มีอิทธิพลในทางความคิดของประชาชนค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้น เมื่อบริษัทมีปัญหาการทำหน้าที่อันไม่โปร่งใส หรือส่อไปในทางทุจริต จึงเป็นเครื่องสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่า คดีความของบริษัทดังกล่าว มีความเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนโดยตรง
“แม้คดีความดังกล่าว ยังไม่ถึงที่สิ้นสุด แต่คำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้น เป็นเสมือนเครื่องตอกย้ำให้นักเล่าข่าวอย่างสรยุทธ ต้องกลับมาพิจารณาตัวเองแล้วว่า หากตัวคุณเองยังรู้สึกว่า คุณ คือ สื่อที่แท้จริง คุณก็ควรยุติบทบาทจากหน้าจอไปก่อน และสุดท้ายเมื่อคดีถึงที่สิ้นสุดแล้วพบว่า คุณสรยุทธไม่มีความผิด วินาทีนั้น คุณก็กลับมาทำหน้าที่ได้อย่างภาคภูมิ”นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงอดีตสมาชิกสมาคมฯ
นอกจากนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้สอบถาม นายสมรักษ์ ณรงค์วิชัย รองกรรมการผู้จัดการ รักษาการผู้จัดการฝ่ายผลิตรายการสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เกี่ยวกับกรณีของ นายสรยุทธ ได้รับคำตอบว่า "ไม่ขอตอบอะไรทั้งนั้น เนื่องจากไม่อยู่ในฝ่ายที่เกี่ยวข้อง"
ก็แล้วแต่จะเชื่อ....
เช้าวันที่ 1 มีนาคม 2559------------------------------------------------------------------------------------------
ในแง่คดี ก็คงต้องรอดูกันต่อไป แต่ในส่วนของภาคสื่อมวลชน นายวันชัย วงศ์มีชัย นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ถึงกรณีคดีไร่ส้มว่า ทางสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ยังไม่ได้มีการหารือถึงประเด็นดังกล่าว แต่เบื้องต้น ทางสมาคมยังไม่มีแนวทางที่จะออกมากดดัน นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา แต่อย่างใด เนื่องจากสมาคมนักข่าวฯ เชื่อมั่นว่า ผู้คนในสังคมสามารถพิจารณาแยกแยะความผิดชอบชั่วดีได้
โดยครั้งหนึ่ง นายสรยุทธ เคยชี้แจงผ่านรายการเรื่องเล่าเช้านี้ไว้ว่า “คดีความที่เกิดขึ้นเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจของบริษัท และไม่มีส่วนกระทบใดๆ ต่อการทำรายการของผม ซึ่งนำเสนอข้อมูลตามความเป็นจริงเพื่อประโยชน์ต่อสังคม โดยไม่บิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันเป็นจรรยาบรรณสำคัญในการนำเสนอที่ผมยึดถือมาตลอดชีวิตการทำงาน”
ด้านนายกสมาคมนักข่าวฯ แสดงทัศนะในเรื่องนี้ว่า บริษัทที่นายสรยุทธทำธุรกิจนั้น เป็นองค์กรที่มีหน้าที่หลัก คือ การผลิตสื่อ และเป็นสื่อมวลชนที่มีอิทธิพลในทางความคิดของประชาชนค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้น เมื่อบริษัทมีปัญหาการทำหน้าที่อันไม่โปร่งใส หรือส่อไปในทางทุจริต จึงเป็นเครื่องสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่า คดีความของบริษัทดังกล่าว มีความเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนโดยตรง
“แม้คดีความดังกล่าว ยังไม่ถึงที่สิ้นสุด แต่คำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้น เป็นเสมือนเครื่องตอกย้ำให้นักเล่าข่าวอย่างสรยุทธ ต้องกลับมาพิจารณาตัวเองแล้วว่า หากตัวคุณเองยังรู้สึกว่า คุณ คือ สื่อที่แท้จริง คุณก็ควรยุติบทบาทจากหน้าจอไปก่อน และสุดท้ายเมื่อคดีถึงที่สิ้นสุดแล้วพบว่า คุณสรยุทธไม่มีความผิด วินาทีนั้น คุณก็กลับมาทำหน้าที่ได้อย่างภาคภูมิ”นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงอดีตสมาชิกสมาคมฯ
นอกจากนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้สอบถาม นายสมรักษ์ ณรงค์วิชัย รองกรรมการผู้จัดการ รักษาการผู้จัดการฝ่ายผลิตรายการสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เกี่ยวกับกรณีของ นายสรยุทธ ได้รับคำตอบว่า "ไม่ขอตอบอะไรทั้งนั้น เนื่องจากไม่อยู่ในฝ่ายที่เกี่ยวข้อง"
ก็แล้วแต่จะเชื่อ....
เช้าวันที่ 1 มีนาคม 2559------------------------------------------------------------------------------------------
"สรยุทธ" ยังจัดรายการตามปกติ พร้อมอ่านคดีบริษัทไร่ส้มถูกศาลอาญาพิพากษาด้วยตัวเอง และขอใช้สิทธิ์ต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม
(เดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2559 เวลา 6:54 น.)
--------------------------------------------------------------------------------------------
จากกรณีที่ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรเล่าข่าวชื่อดัง "สรยุทธ สุทัศนะจินดา" ถูกศาลอาญาพิพากษา ในคดีบริษัทไร่ส้ม ไม่ชำระค่าโฆษณาเกินเวลาให้ อสมท. 138 ล้านบาท จำคุก 13 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา ต่อมาศาลชั้นต้นให้ประกันตัวชั่วคราว 2 ล้านบาท พร้อมสั่งห้ามออกนอกประเทศและต้องมารายงานตัวทุก 30 วัน ทั้งนี้ ผู้บริหารทีวีช่อง 3 ได้หารือเพื่อกำหนดแนวทางกรณีคดีสรยุทธ
ล่าสุดเมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 1 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ปรากฏว่านายสรยุทธ ยังจัดรายการปกติ และได้อ่านข่าวคดีบริษัทไร่ส้มด้วยตัวเองเป็นข่าวแรก พร้อมกับระบุถึงการเคารพคำพิพากษาของศาล และขอใช้สิทธิในการต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมต่อไป.
---------------------------------------------------------------------------------------------
มติบอร์ดช่อง3 จะสนับสนุน "สรยุทธ" จัดรายการตามปกติต่อไป ระบุกรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เกิดก่อนร่วมงานกัน
(TNN 24 วันที่ 1 มีนาคม 2559)
วันนี้(1 มี.ค.59) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 23.10 น. ที่ผ่านมา นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ ปฏิบัติการแทนรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกเอนเตอร์เทนเมนท์ หรือ สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เปิดเผยว่า หลังการประชุมคณะผู้บริหารของทางช่อง3 ได้ข้อสรุปไปในทิศทางเดียวกัน ที่จะสนับสนุนสรยุทธ สุทัศนะจินดา ให้ทำงานร่วมกับช่องต่อไป หลังร่วมงานกันมานานกว่า 12 ปี มั่นใจว่า รู้จักนายสรยุทธดีมากกว่าคนอื่น กรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนร่วมงานกัน อีกทั้งคดียังไม่สิ้นสุดอยู่ระหว่างการพิสูจน์ในชั้นศาล
โดยตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. นายสรยุทธ ยังสามารถจัดรายการได้ในช่วงเวลาเหมือนเดิม ส่วนรายการเจาะข่าวเด่นของเย็นวันที่ 29 ก.พ.ที่นายสรยุทธไม่เดินทางมาจัดรายการนั้น อาจเกิดจากความไม่พร้อมของเจ้าตัว ซึ่งเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น
นับจากนี้ช่อง 3 ต้องน้อมรับคำวิจารณ์และประเมินท่าทีของสังคมต่อไป แต่มติบอร์ดขณะนี้ ถือเป็นที่สิ้นสุดและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน หากสังคมคิดว่า สุดโต่งก็ต้องน้อมรับ เพราะที่ผ่านมาถือว่า ทำงานเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อจากนี้ความสัมพันธ์ยังเป็นไปตามปกติ นายสุรินทร์ กล่าว
-----------------------------------------------------------------------------------
ไม่ต้องบิดพริ้ว ไม่ต้องวิ่งเต้น ใช้เงินอะไร แต่ "ตามกฏหมาย"ล้วน ๆ
พวกสื่อขี้อิจฉา ดิ๊ด๊า ได้วันเดียว
พวกด่าตามกระแส ก็หมุบหมิบ ๆ ไปตามเรื่อง
พวกที่เคยสงสัยว่า เขา แดง หรือเหลือง ก็คง รู้ตัวแล้วว่า การออกมาด่าเขาเอามัน มันเป็นการผลักเขาไปอีกฝ่ายหนึ่งอย่างรู้ตัวมั่ง ไม่รู้ตัวมั่ง
*****ถ้าคุณไม่ได้ตามข่าวเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างใกล้ชิด หยุดด่าไปก่อนดีกว่า
สำหรับเรา บอกตรง ๆ ดีใจ ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ เพราะ ความเป็นสื่อที่"Born to be" ในเมืองตอแหลแลนด์ ของเขา จะทำให้ สนามการต่อสู้กับ เผด็จการ เข้มข้น ขึ้นอีก ในเร็ว ๆ นี้
สำหรับสื่อ กระแดะ เสแสร้งว่าตนเองบริสุทธ์ ก็คงมีเรื่องด่าเขาหากินไปอีกนาน ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็อยู่ในวังวนของ กิเลส โกง หน้าด้าน สำนึก
สมาคมสื่อ ที่เขาไม่ยอมเข้าไปอยู่ในการควบคุมของตนเองก็ ดีใจ เพราะผลักสรยุทธ ไปเป็น"สื่อขี้โกง" สำเร็จแล้ว ตนก็เป็นฝ่าย "สื่อดี" ขึ้นมาทันที
สำหรับ คุณสรยุทธ ก็อยากจะบอกว่าตราประทับที่หน้าผากว่า "โกง" เอาออกยากนะคะ( ถามครอบครัว ชินวัตรและคนสีแดงดูเหอะ
มัน ถูกตัดสินโดย คนดีและ สมุน ทาส ของ คนดี ไปแล้ว
ยินดีต้อนรับเข้าสมาคม
Wellcome to the Club ค่ะ.
--------------------------------------------------------------------------------------------------
บริษัท ไร่ส้ม โกงเงิน ค่าโฆษณา ทำให้องค์กร อสมท. เสียหาย 138 ล้าน เฮียสอ กล่าวว่า ไม่ได้เอาเงินของอสมท.และที่แน่ ๆ ไม่ใช่เงินของ ช่องสาม แต่เป็นเงิน ค่าโฆษณา ที่(ขายในเวลาของตนเอง ก็เหมือนเงินค่าบริจาค นั่นแหละ เพียงแต่ ไม่ได้ รายงานพอถูกจับได้... ก็จ่ายเงินคืนพร้อมดอกเบี้ย แล้วงาย...ยยยย สังคมจะเอาอะไรกับผมอีก
โครงการราชภักดิ์ โกงเงินบริจาค เป็นพัน ๆ ล้าน นายทหารผู้รับผิดชอบบอก ไม่ได้เอาเงินภาษีนี่ เป็นเงินบริจาค ก็คืนให้ไปแล้วไง จะเอายังงายอีก??
ตอนนี้ต่างกันเพราะ สังคมด่าสรยุทธได้ แต่ด่าโครงการราชภักดิ์ไม่ได้ ฮ่า ๆๆๆ กลายเป็นคนตอแหลกันทั้งประเทศแล้ว 55555
------------------------------------------------------------------------------------------------------
"สรยุทธ" ยังจัดรายการตามปกติ พร้อมอ่านคดีบริษัทไร่ส้มถูกศาลอาญาพิพากษาด้วยตัวเอง และขอใช้สิทธิ์ต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม
(เดลินิวส์ออนไลน์ วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2559 เวลา 6:54 น.)
--------------------------------------------------------------------------------------------
จากกรณีที่ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรเล่าข่าวชื่อดัง "สรยุทธ สุทัศนะจินดา" ถูกศาลอาญาพิพากษา ในคดีบริษัทไร่ส้ม ไม่ชำระค่าโฆษณาเกินเวลาให้ อสมท. 138 ล้านบาท จำคุก 13 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา ต่อมาศาลชั้นต้นให้ประกันตัวชั่วคราว 2 ล้านบาท พร้อมสั่งห้ามออกนอกประเทศและต้องมารายงานตัวทุก 30 วัน ทั้งนี้ ผู้บริหารทีวีช่อง 3 ได้หารือเพื่อกำหนดแนวทางกรณีคดีสรยุทธ
ล่าสุดเมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 1 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ปรากฏว่านายสรยุทธ ยังจัดรายการปกติ และได้อ่านข่าวคดีบริษัทไร่ส้มด้วยตัวเองเป็นข่าวแรก พร้อมกับระบุถึงการเคารพคำพิพากษาของศาล และขอใช้สิทธิในการต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมต่อไป.
---------------------------------------------------------------------------------------------
มติบอร์ดช่อง3 จะสนับสนุน "สรยุทธ" จัดรายการตามปกติต่อไป ระบุกรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เกิดก่อนร่วมงานกัน
(TNN 24 วันที่ 1 มีนาคม 2559)
วันนี้(1 มี.ค.59) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 23.10 น. ที่ผ่านมา นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ ปฏิบัติการแทนรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกเอนเตอร์เทนเมนท์ หรือ สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เปิดเผยว่า หลังการประชุมคณะผู้บริหารของทางช่อง3 ได้ข้อสรุปไปในทิศทางเดียวกัน ที่จะสนับสนุนสรยุทธ สุทัศนะจินดา ให้ทำงานร่วมกับช่องต่อไป หลังร่วมงานกันมานานกว่า 12 ปี มั่นใจว่า รู้จักนายสรยุทธดีมากกว่าคนอื่น กรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนร่วมงานกัน อีกทั้งคดียังไม่สิ้นสุดอยู่ระหว่างการพิสูจน์ในชั้นศาล
โดยตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. นายสรยุทธ ยังสามารถจัดรายการได้ในช่วงเวลาเหมือนเดิม ส่วนรายการเจาะข่าวเด่นของเย็นวันที่ 29 ก.พ.ที่นายสรยุทธไม่เดินทางมาจัดรายการนั้น อาจเกิดจากความไม่พร้อมของเจ้าตัว ซึ่งเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น
นับจากนี้ช่อง 3 ต้องน้อมรับคำวิจารณ์และประเมินท่าทีของสังคมต่อไป แต่มติบอร์ดขณะนี้ ถือเป็นที่สิ้นสุดและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน หากสังคมคิดว่า สุดโต่งก็ต้องน้อมรับ เพราะที่ผ่านมาถือว่า ทำงานเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อจากนี้ความสัมพันธ์ยังเป็นไปตามปกติ นายสุรินทร์ กล่าว
-----------------------------------------------------------------------------------
ไม่ต้องบิดพริ้ว ไม่ต้องวิ่งเต้น ใช้เงินอะไร แต่ "ตามกฏหมาย"ล้วน ๆ
พวกสื่อขี้อิจฉา ดิ๊ด๊า ได้วันเดียว
พวกด่าตามกระแส ก็หมุบหมิบ ๆ ไปตามเรื่อง
พวกที่เคยสงสัยว่า เขา แดง หรือเหลือง ก็คง รู้ตัวแล้วว่า การออกมาด่าเขาเอามัน มันเป็นการผลักเขาไปอีกฝ่ายหนึ่งอย่างรู้ตัวมั่ง ไม่รู้ตัวมั่ง
*****ถ้าคุณไม่ได้ตามข่าวเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างใกล้ชิด หยุดด่าไปก่อนดีกว่า
สำหรับเรา บอกตรง ๆ ดีใจ ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ เพราะ ความเป็นสื่อที่"Born to be" ในเมืองตอแหลแลนด์ ของเขา จะทำให้ สนามการต่อสู้กับ เผด็จการ เข้มข้น ขึ้นอีก ในเร็ว ๆ นี้
สำหรับสื่อ กระแดะ เสแสร้งว่าตนเองบริสุทธ์ ก็คงมีเรื่องด่าเขาหากินไปอีกนาน ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็อยู่ในวังวนของ กิเลส โกง หน้าด้าน สำนึก
สมาคมสื่อ ที่เขาไม่ยอมเข้าไปอยู่ในการควบคุมของตนเองก็ ดีใจ เพราะผลักสรยุทธ ไปเป็น"สื่อขี้โกง" สำเร็จแล้ว ตนก็เป็นฝ่าย "สื่อดี" ขึ้นมาทันที
สำหรับ คุณสรยุทธ ก็อยากจะบอกว่าตราประทับที่หน้าผากว่า "โกง" เอาออกยากนะคะ( ถามครอบครัว ชินวัตรและคนสีแดงดูเหอะ
มัน ถูกตัดสินโดย คนดีและ สมุน ทาส ของ คนดี ไปแล้ว
ยินดีต้อนรับเข้าสมาคม
Wellcome to the Club ค่ะ.
--------------------------------------------------------------------------------------------------
บริษัท ไร่ส้ม โกงเงิน ค่าโฆษณา ทำให้องค์กร อสมท. เสียหาย 138 ล้าน เฮียสอ กล่าวว่า ไม่ได้เอาเงินของอสมท.และที่แน่ ๆ ไม่ใช่เงินของ ช่องสาม แต่เป็นเงิน ค่าโฆษณา ที่(ขายในเวลาของตนเอง ก็เหมือนเงินค่าบริจาค นั่นแหละ เพียงแต่ ไม่ได้ รายงานพอถูกจับได้... ก็จ่ายเงินคืนพร้อมดอกเบี้ย แล้วงาย...ยยยย สังคมจะเอาอะไรกับผมอีก
โครงการราชภักดิ์ โกงเงินบริจาค เป็นพัน ๆ ล้าน นายทหารผู้รับผิดชอบบอก ไม่ได้เอาเงินภาษีนี่ เป็นเงินบริจาค ก็คืนให้ไปแล้วไง จะเอายังงายอีก??
ตอนนี้ต่างกันเพราะ สังคมด่าสรยุทธได้ แต่ด่าโครงการราชภักดิ์ไม่ได้ ฮ่า ๆๆๆ กลายเป็นคนตอแหลกันทั้งประเทศแล้ว 55555
------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้างล่างนี้เป็นวิธีการเล่าของเด็ก ๆ ไม่ถูกต้อง 100% แต่น้อง ๆ ก็เอาไปเล่าให้พ่อแม่ ตายาย ฟังได้ อย่าลืมเฮียสอ มี แฟนคลับเยอะมาก
วันนี้มีคดีสำคัญที่อยากให้ความรู้น้องๆเอาไว้(ในภาษาที่อ่านง้ายๆ จะได้เอาไปเป็นบทเรียนนะฮะทั่นผู้ชม)
"กรณีลุงสรยุทธแกโดนตัดสินจำคุก 13 ปีไม่รอลงอาญา"
อธิบายง่ายๆว่า
- การรอลงอาญาคือยังไม่ติดคุกนะ สมมติรอลงอาญา 2 ปีคือ ในช่วงเวลา 2 ปีเนี้ย ใช้ชีวิตได้ปกติ ห้ามทำผิดก้พอ ถ้าผิดอีก ติดคุกนะ! ไรงี้ แต่การไม่รอลงอาญาคือ ไม่ให้โอกาสละ ติดคุกแม่งเลย (แต่ไม่ใช่เข้าคุกวันนี้นะ มันต้องมีอุธรณ์ ฎีกาไรอีก คล้ายๆกับตอนนี้ขาเข้าคุกไปข้างนึงละ)
- ทำไมติดคุกวะ ไร่ส้มอะไร งง ไม่เกท ลุงแกอ่านข่าวนิ่ไม่ได้ทำไร่ซะหน่อย >> คืองี้ครับ บริษัทไร่ส้มเป็นบริษัทผลิตรายการที่ลุงสรยุทธตั้งขึ้นมาทำรายการส่งให้ทีวีเอาไปออก ไม่เกี่ยวกับการทำไร่นะ!
- แล้วทำผิดอะไรอะงง
>> ก้เหมือนแบบ ทีวีมันจะกำหนดไงว่าห้ามรายการโฆษณาเกินเวลาที่สัญญากันนะ ถ้าเกินเวลาเค้าปรับนะตะเอง
>> ซึ่งบริษัทไร่ส้มของลุงสรยุทธแกก็โฆษณาเกินเวลาจนได้!! ซึ่งเค้าก้ต้องจ่ายค่าปรับ 100 กว่าล้านอะ จำเลขไม่ได้ ซึ่งเค้าก้จ่ายค่าปรับตามระเบียบ~ ก็ตามสัญญาอะ จริงๆไม่ต้องติดคุกหรอก แต่..
>> ความผิดมันอยู่ที่ ตอนที่เค้าทำผิดแล้วต้องจ่ายอะ ลุงสรเค้าจ่ายเงินให้คนในแก้ข้อมูลเว้ย แก้ข้อมูลว่าเราไม่ได้โฆษณาเกินเวลานะฮาฟ นายปรับเราไม่ได้นา
>> จนเค้ามีการตรวจสอบนี่แหละคับ เลยพบว่าอ่าว จริงๆแล้วยูต้องโดนปรับนี่ เอาเงินมาซะดีๆนะ (บริษัทไร่ส้มเลยโอเคๆจ่ายครับจ่าย แฮ่ๆ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น)
>> พอจ่ายปุ้บ ไม่จบจ้า อสมท.มาสืบทีหลัง รู้ว่าอ้าว มีการแก้ข้อมูลก่อนเราจะจับได้นี่ เห้ยนายโกงเราอะ นายทำแบบนี้ได้ไง มีการจ่ายเงินให้คนในเราแก้ข้อมูลด้วย โห นี่มันไม่ถูกต้อง! ต้องฟ้องงง ถึงเราได้ตังค่าปรับแล้ว แต่นายยัดเงินกันแบบนี้ ถ้าเราจับไม่ได้นายก็มีเจตนาจะไม่จ่ายเราใช่มะ!!
>> แล้วเค้าก็ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมจนผลออกมาคือแบบนี้แหละครับ ติดคุก 13 ปี~ จะบินหนีหรือจะเข้าคุกมั้ย หรือจะอุธรณ์ยังไงมาลุ้นกัน!
(ถ้าข้อมูลตรงไหนผิดพลาดรบกวนบอกมาในคอมเม้นนะฮะ ผมไม่ได้เรียนกฎหมายโดยตรง แต่อยากสรุปข่าวให้มันเข้าใจง่ายๆเป็นความรู้รอบตัวให้น้องๆครับ)
CR:Kanninich
ข้างล่างนี้เป็นวิธีการเล่าของเด็ก ๆ ไม่ถูกต้อง 100% แต่น้อง ๆ ก็เอาไปเล่าให้พ่อแม่ ตายาย ฟังได้ อย่าลืมเฮียสอ มี แฟนคลับเยอะมาก
วันนี้มีคดีสำคัญที่อยากให้ความรู้น้องๆเอาไว้(ในภาษาที่อ่านง้ายๆ จะได้เอาไปเป็นบทเรียนนะฮะทั่นผู้ชม)
"กรณีลุงสรยุทธแกโดนตัดสินจำคุก 13 ปีไม่รอลงอาญา"
อธิบายง่ายๆว่า
- การรอลงอาญาคือยังไม่ติดคุกนะ สมมติรอลงอาญา 2 ปีคือ ในช่วงเวลา 2 ปีเนี้ย ใช้ชีวิตได้ปกติ ห้ามทำผิดก้พอ ถ้าผิดอีก ติดคุกนะ! ไรงี้ แต่การไม่รอลงอาญาคือ ไม่ให้โอกาสละ ติดคุกแม่งเลย (แต่ไม่ใช่เข้าคุกวันนี้นะ มันต้องมีอุธรณ์ ฎีกาไรอีก คล้ายๆกับตอนนี้ขาเข้าคุกไปข้างนึงละ)
- ทำไมติดคุกวะ ไร่ส้มอะไร งง ไม่เกท ลุงแกอ่านข่าวนิ่ไม่ได้ทำไร่ซะหน่อย >> คืองี้ครับ บริษัทไร่ส้มเป็นบริษัทผลิตรายการที่ลุงสรยุทธตั้งขึ้นมาทำรายการส่งให้ทีวีเอาไปออก ไม่เกี่ยวกับการทำไร่นะ!
- แล้วทำผิดอะไรอะงง
>> ก้เหมือนแบบ ทีวีมันจะกำหนดไงว่าห้ามรายการโฆษณาเกินเวลาที่สัญญากันนะ ถ้าเกินเวลาเค้าปรับนะตะเอง
>> ซึ่งบริษัทไร่ส้มของลุงสรยุทธแกก็โฆษณาเกินเวลาจนได้!! ซึ่งเค้าก้ต้องจ่ายค่าปรับ 100 กว่าล้านอะ จำเลขไม่ได้ ซึ่งเค้าก้จ่ายค่าปรับตามระเบียบ~ ก็ตามสัญญาอะ จริงๆไม่ต้องติดคุกหรอก แต่..
>> ความผิดมันอยู่ที่ ตอนที่เค้าทำผิดแล้วต้องจ่ายอะ ลุงสรเค้าจ่ายเงินให้คนในแก้ข้อมูลเว้ย แก้ข้อมูลว่าเราไม่ได้โฆษณาเกินเวลานะฮาฟ นายปรับเราไม่ได้นา
>> จนเค้ามีการตรวจสอบนี่แหละคับ เลยพบว่าอ่าว จริงๆแล้วยูต้องโดนปรับนี่ เอาเงินมาซะดีๆนะ (บริษัทไร่ส้มเลยโอเคๆจ่ายครับจ่าย แฮ่ๆ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น)
>> พอจ่ายปุ้บ ไม่จบจ้า อสมท.มาสืบทีหลัง รู้ว่าอ้าว มีการแก้ข้อมูลก่อนเราจะจับได้นี่ เห้ยนายโกงเราอะ นายทำแบบนี้ได้ไง มีการจ่ายเงินให้คนในเราแก้ข้อมูลด้วย โห นี่มันไม่ถูกต้อง! ต้องฟ้องงง ถึงเราได้ตังค่าปรับแล้ว แต่นายยัดเงินกันแบบนี้ ถ้าเราจับไม่ได้นายก็มีเจตนาจะไม่จ่ายเราใช่มะ!!
>> แล้วเค้าก็ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมจนผลออกมาคือแบบนี้แหละครับ ติดคุก 13 ปี~ จะบินหนีหรือจะเข้าคุกมั้ย หรือจะอุธรณ์ยังไงมาลุ้นกัน!
(ถ้าข้อมูลตรงไหนผิดพลาดรบกวนบอกมาในคอมเม้นนะฮะ ผมไม่ได้เรียนกฎหมายโดยตรง แต่อยากสรุปข่าวให้มันเข้าใจง่ายๆเป็นความรู้รอบตัวให้น้องๆครับ)
CR:Kanninich
No comments:
Post a Comment