ปัจจุบันหน่วยงานต่างๆ รำคาญกับการที่ประชาชนสามารถตรวจสอบการทำงานได้ในหลายแง่มุม
และมักทำ อย่างเสียไม่ได้ นั่นเป็นการสำคัญผิด ของข้าราชการที่คิดว่าอำนาจที่ตนมีอยู่นั้น
หล่นมาจากฟ้า แท้จริงแล้วอำนาจ ที่เขาใช้อยู่ (โดยได้รับเงินเดือน) นั้นมาจากการที่ประชาชน
มอบให้ การตรวจสอบของประชาชนในรูปแบบต่างๆ ถือเป็นเรื่องปกติ ของเจ้าของอำนาจ
ถ้าเราสังเกตจากตนเองในชีวิตประจำวัน เราจะพบว่าคนเรามีแนวโน้มที่จะเสพติดอำนาจ
อยากให้มีอยู่ อย่างถาวร และมีเพิ่มขึ้นไปอีก องค์กรต่างๆ ในสังคมก็เช่นนั้น เพราะองค์กร
ประกอบขึ้นด้วย คนที่มีลักษณะดังว่านั้น การพยายาม แผ่ขยายอำนาจ ของบุคคล และองค์กร
จึงเป็นเรื่องปกติ ขึ้นอยู่กับว่าประชาชนเจ้าของอำนาจเห็นด้วยหรือไม่ ในทางการเมือง
สามารถ จำกัด การแผ่ขยายอาณาจักร ที่ว่านั้นได้ง่าย เพราะแต่ละองค์กร จะถูกกำหนดไว้ชัดเจนว่า
มีภาระหน้าที่อย่างไร แค่ไหน แต่ในทางเศรษฐกิจจะทำยากกว่า เพราะธุรกิจ ดำเนินการโดยเอกชน
นับล้านๆ คน อย่างไรก็ตามเมื่อการแผ่ขยายอำนาจถึงระดับหนึ่ง คนจะรู้ว่า มันมีผลกระทบ
กับสังคม สังคมจึงผลักดัน ให้การเมือง เข้ามากำกับควบคุมการออกกฎหมาย จำกัดการผูกขาด
การค้า จำกัดการถือครองที่ดิน คือตัวอย่างที่สังคมจะจำกัดการขยายอำนาจของธุรกิจ (แต่ธุรกิจ ก็ใช้อำนาจทางการเมืองของตนเองมาคัดค้านกฎหมายดังกล่าวอยู่)
แต่ถึงแม้ไม่มีการจำกัดการแผ่ขยายอำนาจด้วยอำนาจทางการเมืองหรือกฎหมาย
ธรรมชาติ ก็จะมีวิธีควบคุม การขยายอำนาจ อยู่ในตัวเองเช่นกัน
ไม่มีเจ้าพ่อคนไหนเลยที่จะไม่ถูกท้าทายอำนาจ
ไม่ว่าจะควบคุมบ้านเมืองได้เบ็ดเสร็จเพียงใดก็ตาม เจ้าพ่อส่วนใหญ่ จึงไม่ตายดีสักคน
คนที่ตายดีส่วนใหญ่ จะเข้าใจธรรมชาติของอำนาจ ที่ต้อง ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป จัดระยะห่าง
กับศูนย์กลางอำนาจอื่นๆ ได้เหมาะสม ยามใดที่มี ความไม่เหมาะสมเกิดขึ้น เจ้าพ่อจะฆ่ากันเพราะล้ำเส้นกัน
ในทางการเมืองเหตุผลที่ต้องมีการกระจายอำนาจก็เหตุผลเดียวกัน
เดิมทีชุมชนต่างๆ เป็นคนจัดการ บ้านเมืองของตัวเอง มีวิธีหาทรัพยากร มีวิธีจัดการ แบ่งผลประโยชน์
ในรูปแบบ ต่างๆ ในท้องถิ่น ระบบเจ้าที่ดิน กินบ้านกินเมืองก็เป็นระบบหนึ่ง ไม่มีระบบ
แบบประเทศ เสียด้วยซ้ำ เมื่อมีประเทศ ขึ้นมา มีการรวมศูนย์การจัดการไว้ที่เมืองหลวง
มีการเก็บภาษี เพื่อสนับสนุน การใช้อำนาจ ทางการเมือง การปกครองกว่า ๑๐๐ ปีผ่านไปของการรวมศูนย์อำนาจ
รัฐบาลกลางเริ่มเห็นว่า ถ้ารวมศูนย์ต่อไปจะอยู่ไม่ได้ เพราะประชาชน เจ้าของอำนาจ ไม่ยินยอม
อีกต่อไป คนในท้องถิ่น ต้องการเก็บภาษีเอง ต้องการจัดการบ้านเมืองเอง ต้องการเลือกคนบริหาร
ท้องถิ่นเอง เราจึงพบว่า กฎหมายการให้มีองค์การบริหารส่วนตำบลนั้น คนส่วนใหญ่เห็นด้วย
และผ่านออกมาอย่างรวดเร็ว
การกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่นนั้นหาใช่บังเกิดผลขึ้นมาจากความริเริ่มของนักการเมือง
คนดี คนใด คนหนึ่งไม่ แต่เป็นความจำเป็น ทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล ก็ต้องทำแบบนี้
ทั้งสิ้น เพราะถ้าไม่ทำรัฐบาลกลาง ที่รวบอำนาจ มานานกว่า ๑๐๐ ปี (ดูอายุกระทรวงต่างๆ) จะอยู่ไม่ได้ เพราะแรงเสียดทานจากท้องถิ่น ที่จะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ความลับจึงเป็นว่า บุคคล หน่วยงานหรือสถาบันต่าง
ๆ ที่ต้องการอยู่ในอำนาจ ให้ได้นาน ต้องมีการแบ่งสรร กระจายอำนาจ ให้กับบุคคล หน่วยงาน
หรือสถาบันอื่นๆ อย่างเหมาะสม ถ้าจะกินคนเดียวตลอดไป จะตายหนังสือพิมพ์คลุมหน้า บนถนน
เหมือนดังเจ้าพ่อ ทั้งหลายนั้นเอง
ความลับประการสุดท้ายเรื่องอำนาจต้องย้อนกลับไปที่แหล่งที่มาของอำนาจ
คนหรือสถาบัน จะมีอำนาจอยู่ได้ ไม่เพียงได้รับมอบหมาย จากเจ้าของอำนาจเท่านั้น แต่ต้องได้รับการยอมรับด้วย
หน่วยงานต่างๆ แม้ว่าจะมีกฎหมายมอบอำนาจให้ จากประชาชนแล้ว แต่ถ้าทำตัว ไม่น่านับถือ
แม้ว่าประชาชนยังไม่สามารถเขียนกฎหมายใหม่ได้ แต่ประชาชนไม่ยอมรับ อำนาจของ หน่วยงานนั้น
ก็หมดไป กฎหมาย ให้อำนาจตำรวจ ทหารในการปราบปราม คนที่ก่อความไม่สงบ แต่เมื่อคนที่ก่อความไม่สงบ
คือคนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ไม่พอใจ
(ไม่ยอมมอบอำนาจให้) รัฐ ตำรวจ ทหารก็ไม่อาจใช้อำนาจอย่างได้ผล
ดังกรณี เหตุการณ์นองเลือด หลายครั้ง ในประวัติศาสตร์ไทย รวมทั้งเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ
ในปี ๒๕๓๕ ความหมายก็คือ เมื่อเจ้าของ อำนาจถอนอำนาจ อำนาจของหน่วยงานนั้น จะเหลือเพียง
อำนาจในกระดาษ ถ้ายังขืนใช้อำนาจ ก็จะกลายเป็นการขุดหลุมฝังตนเอง ดังที่ทหารถูกประณาม
ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จนเป็นประวัติที่ด่างพร้อย ลบไม่ออก จนถึงปัจจุบัน
ในระดับปัจเจกชน เป็นที่รู้กันใน หมู่นักต่อสู้แบบสันติวิธีว่าวิธีสลายอำนาจของผู้มีอำนาจ
คือการไม่ยอมรับ อำนาจนั้น ไม่ว่าในทางกฎหมาย หรือประเพณี องค์กรนั้นจะมีอำนาจอยู่ก็ตาม
ซึ่งถูกแปรมาเป็นการต่อสู้แบบสันติวิธี ที่เรียกว่าการดื้อแพ่ง ของพลเมือง (Civil disobedience) ตัวอย่างเช่น
มีกฎหมายห้ามเดินขบวน ใครเดินขบวนผิดกฎหมาย ตำรวจจับเข้าคุกได้ ประชาชน เห็นว่า นี่เป็นกฎหมาย
ที่ไม่เป็นธรรม เป็นกฎหมายที่เขาผู้เป็นเจ้าของอำนาจ ไม่ยอมรับ ไม่อนุมัติ แต่รัฐยังดึงดันใช้กฎหมายนี้
ก็มีคนจำนวนมาก มาเดินขบวน ยอมให้มีการจับ กันทั้งประเทศ ตำรวจยังมีอำนาจตามกฎหมาย
แต่ไม่มีอำนาจจัดการอะไรได้ เพราะคนลุกฮือกัน ขึ้นมาทั้งประเทศ ตำรวจไม่สามารถใช้อำนาจนั้นได้
เท่ากับไม่มีอำนาจหลงเหลืออยู่
ในทางธุรกิจ การไม่ยอมรับอำนาจของธุรกิจคือการไม่ซื้อสินค้าและบริการ
การเคลื่อนไหว เป็นขบวนใหญ่ ของประชาชน คือการบอยคอต (boycott) ซึ่งจะให้ธุรกิจพังทลาย
ในชั่วข้ามคืน
แม้แต่ในครอบครัวพ่อแม่จะมีอำนาจเหนือลูกอยู่ได้เพราะลูกยังยอมรับการใช้อำนาจ
ถ้าวันใด ที่ลูกๆ บอกว่า เขาไม่ยอมรับอำนาจ ไม่เชื่อฟัง ไม่ว่าจะถูกลงโทษ อย่างไรก็ตาม
อำนาจของพ่อแม่ ก็จะหมดไป แม้ว่าสังคมจะยอมรับว่า เขายังเป็นพ่อแม่ของเด็กๆ เหล่านั้นอยู่ก็ตาม
อำนาจจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม จะเบ็ดเสร็จขนาดไหนก็ตาม
คนใช้อำนาจยังใช้มันได้อยู่ ตราบเท่าที่ คนที่ถูกใช้อำนาจยอมรับ วันใด ที่คนถูกใช้อำนาจ
ไม่ยอมรับ คนที่ใช้อำนาจ จะไม่มีอำนาจอีกต่อไป ไม่ว่าประเพณี วัฒนธรรมหรือกฎหมาย ให้อำนาจไว้
ขนาดไหนก็ตาม
ความลับเรื่องอำนาจมีหลายประการคือ
อำนาจทั้งหมดของสถาบันต่างๆ ในสังคมมาจาก ประชาชน ประชาชนมอบอำนาจ ให้สถาบันต่างๆ โดยเขียนเป็น
ลายลักษณ์อักษร และการยอมรับ อำนาจ เป็นของเสพติด บุคคลหรือองค์กร ต้องการอำนาจ มากขึ้นเรื่อยๆ
จึงต้องมีการกำกับ การใช้อำนาจ อำนาจทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สามารถแปรเปลี่ยนไปมา
ระหว่างกันได้ คนที่มีความสามารถ ในการแปรเปลี่ยนอำนาจ จะยึดกุมพื้นที่ ทางสังคมได้มากที่สุด
แต่ถ้ายึดกุม มากเกินกว่าเหตุ โดยไม่แบ่งคนอื่น มักตายไร้ที่กลบฝัง จึงต้องมีการแบ่งอำนาจ
กระจายอำนาจ เพื่อรักษาอำนาจ ให้ยาวนาน และสุดท้าย ไม่ว่าจะมีอำนาจขนาดไหนก็ตาม ถ้าคนที่ถูกใช้อำนาจ
ไม่ยอมรับ คนที่อยู่เหนือกว่า จะหมดอำนาจไปทันที
No comments:
Post a Comment