2022-05-10

ESTONIA" ประเทศนี้มันอยู่ส่วนไหนของแผนที่กันนะ?

 

เมืองหลวงของประเทศเอสโตเนีย คือ "ทาลลินน์" (Tallinn) ค่ะ เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ภาษาราชการของเอสโตเนียก็คือภาษาเอสโตเนียน เป็นภาษาที่ยากพอสมควรเลยล่ะค่ะ เอสโตเนียเป็นประเทศเล็กๆในประเทศกลุ่มบอลติก ทิศเหนือติดกับอ่าวฟินแลนด์ ทิศตะวันตกติดกับทะเลบอลติก ทิศใต้ติดกับประเทศลัตเวีย และทิศตะวันออกติดกับประเทศรัสเซียค่ะ เผื่อใครนึกภาพไม่ออก มาดูแผนที่กันเลยดีกว่าค่ะ


ประเทศเอสโตเนียมีประชากรเพียงแค่ 1.3 ล้านคนเท่านั้นค่ะ หนึ่งในอาหารพื้นเมืองยอดนิยมของชาวเอสโตเนียก็คือมันฝรั่ง คนที่นี่ชอบซาวน่ากันมากค่ะ ถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมเชียวแหละ ก็เพราะว่าประเทศเขามีอากาศที่หนาวมากนั่นเองค่ะ คนเอสโตเนียส่วนใหญ่จะเป็นคนค่อนข้างขี้อาย เงียบๆ มีกำแพงสูง อาจจะไม่ค่อยยิ้มแย้มสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะสภาพอากาศที่หนาวเย็น และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ยังฝังใจผู้คนอยู่ เลยอาจไม่ค่อยไว้ใจใครสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเราได้ลองสนิทกับคนเอสโตเนียแล้ว เขาจะเป็นเพื่อนสนิทเราไปตลอดกาลเลยแหละค่ะ แต่เห็นเงียบๆ ไม่ยิ้มแย้มแบบนี้ เวลามีชาวต่างชาติไปถามทาง เขาก็เฟรนด์ลี่และพร้อมเต็มใจที่จะช่วยนะคะ คนเอสโตเนียส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ค่ะ ยิ่งวัยรุ่นนี่ยิ่งพูดปร๋อเลยค่ะ แต่ถ้าเป็นคนที่มีอายุแล้วอาจจะพูดไม่ได้หรือไม่คล่องสักเท่าไหร่

ตอนที่หนูเดินทางไป หนูนั่งเครื่องบินสายการบิน Finnair จากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปยังสนามบินเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ จากนั้นต่อเครื่องบินลำเล็กของสายการบิน Estonian Air ไปยังเอสโตเนียค่ะ ใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาทีจากเฮลซิงกิไปยังทาลลินน์ เวลาในการเดินทางทั้งหมดรวมแล้วประมาณ 12 ชั่วโมงได้ค่ะ

เอาล่ะ.. เกริ่นมามากพอแล้ว หนูจะพาไปดูรูปสถานที่ท่องเที่ยว เมืองสวยๆกันเลยแล้วกันนะคะ
ถ้าหากผิดพลาดประการใด ต้องขอโทษด้วยนะคะ เพิ่งมีโอกาสมาตั้งกระทู้รีวิวครั้งแรกค่ะ

เริ่มต้นกันด้วย Tallinn Old Town หรือเขตเมืองเก่าที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองมรดกโลกตั้งแต่ปี 2540 ค่ะ

บริเวณนี้เป็นจัตุรัสใจกลางเมืองเก่า หรือที่เรียกว่า Raekoja Plats ค่ะ ในช่วงฤดูร้อน บริเวณนี้จะมีความครึกครื้นและดูมีชีวิตชีวามากค่ะ เต็มไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อของ รวมไปถึงนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตา แต่เผอิญรูปที่ถ่ายไว้ดันไม่ได้ถ่ายในช่วงฤดูร้อน ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะถ่ายไว้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงค่ะ เลยอาจจะดูค่อนข้างเงียบเหงาไปบ้าง




อาคารนี้คือ Town Hall ค่ะ ด้านในเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เอสโตเนีย หนูเคยเข้าไปด้านในครั้งนึงตอนเรียนวิชา Art History แล้วอาจารย์พามาชมค่ะ (ต้องขอบอกเลยว่าระบบการศึกษาที่นี่เขาดีมากเลยค่ะ) ชั้นล่างจะมีร้านอาหารชื่อ III Draakon เป็นร้านอาหารสไตล์ยุคกลาง ราคาอาจจะค่อนข้างแพง แต่อาหารอร่อย เหมาะกับคนที่อยากไปซึมซับบรรยากาศเก่าๆในช่วงยุคกลางของยุโรปค่ะ


โดยส่วนตัวแล้วชอบบ้านหลังนี้มาก บ้านน่ารักๆหลังนี้เป็นร้านขายของที่ระลึกค่ะ อยู่ในตรอกฝั่งตรงข้ามกับ Town Hall อ้อ ด้านข้างๆตรอก มีร้านขายยาชื่อ Raeapteek ด้วยค่ะ เป็นร้านขายยาที่เก่าแก่ที่สุดของยุโรป ขอโทษด้วยนะคะไม่ได้ถ่ายรูปมา แหะๆ









บ้านเมืองมีสีสันสวยงาม เป็นเมืองเล็กๆน่ารักๆ เหมือนหลุดเข้าไปในเมืองแห่งเทพนิยาย ใช้เวลาเดินแค่วันเดียวก็ทั่ว Old Town แล้วค่ะ ไม่ได้มีความอลังการโอ่อ่าอะไรมากมาย แต่ก็มีเสน่ห์ และเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ซึ่งสร้างความประทับใจให้หนูไม่น้อยเลยล่ะค่ะ

โบสถ์ที่เห็นอยู่นี้ มีชื่อว่า Alexander Nevsky Cathedral เป็นโบสถ์สไตล์รัสเซียออร์โธด็อกซ์ ตั้งอยู่บนเนินเขา Toompea ค่ะ หนูได้มีโอกาสเข้าไปในโบสถ์ครั้งนึง คนส่วนมากที่มาโบสถ์จะเป็นคนรัสเซียค่ะ เพราะคนเอสโตเนียส่วนใหญ่จะไม่นับถือศาสนา


อาคารสีชมพูพาสเทลสดใสที่เห็นอยู่นี้ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโบสถ์ Alexander Nevsky Cathedral มีชื่อว่า Toompea Castle
เป็นอาคารรัฐสภาของเอสโตเนีย ไม่สามารถเข้าชมภายในอาคารได้ค่ะ


รูปนี้ได้จากจุดชมวิว Patkuli Vaateplatvorm ค่ะ ซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของ Tallinn Old Town ได้อย่างทั่วถึง ยอดโบสถ์ที่เห็นอยู่ไกลๆ
คือ โบสถ์ Oleviste ซึ่งตั้งอยู่บนถนน Oleviste ค่ะ


แถมนกให้ตัวนึงจากจุดชมวิวค่ะ 

Vabaduse Väljak หรือ Freedom Square เป็นจัตุรัสที่ตั้งของอนุสาวรีย์แห่งอิสรภาพ อนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงการต่อสู้ของชาวเอสโตเนียเพื่อเรียกร้องเอกราชจากสหภาพโซเวียต

บริเวณกำแพงเมือง


และนี่คือพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เอสโตเนีย
และยังเป็นร้านอาหารอีกด้วยค่ะ

สองรูปนี้แถมให้ค่ะ เป็นรูปจากเทศกาลคริสต์มาสในปี 2557 ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสจะมีร้านรวงต่างๆมากมายบริเวณจัตุรัส Raekoja Plats คริสต์มาสปีที่แล้วเป็น White Christmas ค่ะ หรือหมายความว่า
วันคริสต์มาสที่มีหิมะตกนั่นเองค่ะ


อยากบอกว่าสวยมากจริงๆ
มีความน่ารักมุ้งมิ้งราวกับเมืองในเทพนิยาย
ถ้าอยากเห็นบรรยากาศจริงๆ
แนะนำให้ลองดูวิดีโอนี้เลยค่ะ

No comments: