- ตอน 1
-เพดานสีขาว ผนังสีขาว ห้องสีขาว...
สติสัมปชัญญะของเขาคืนมาขณะที่เขาลืมตาขึ้น เห็นเงาร่างผู้หญิงคนหนึ่งถือเข็มฉีดยา จ่อบนขาหนีบของเขา เขาพูดว่า “คุณจะฉีดอะไร?” พลันได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นหวีดร้อง สักพักเห็นคนสองสามคนกรูเข้ามาหาเขา ทั้งหมดสวมชุดสีขาว
คนที่หวีดร้องสวมชุดพยาบาลชี้ที่เขา ร้องว่า “เขายังไม่ตาย...”
ชายสวมเสื้อกาวน์สีขาวเอ่ยว่า “เป็นไปได้ยังไง?”
เขาจำชายคนนี้ได้ดี คือหมอสวัสดิ์ ชาญชีวิน หมอที่รักษาเขา
เขาพูดเสียงแผ่ว “เกิดอะไรขึ้น?”
หมอว่า “คุณดำรงตายไปแล้ว ฟื้นขึ้นมา”
เขาจำได้แล้ว เขาป่วยหนักด้วยโรคไต ค่ำคืนหนึ่งเขานั่งดูโทรทัศน์แล้วหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาพบว่าเขาอยู่ในโรงพยาบาล ภรรยาเขาบอกว่าเขาหน้ามืดล้มลง จึงนำตัวส่งโรงพยาบาล เขารักษาตัวที่นี่ได้สองวัน ตอนหัวค่ำเขาหลับไป ตื่นขึ้นมาเห็นพยาบาลสาวกำลังจะฉีดยาเขา เขาไม่เข้าใจสิ่งที่หมอพูด
“คุณดำรงตายไปแล้วด้วยภาวะโรคไตวายเฉียบพลัน เราวางศพคุณไว้สองชั่วโมง ตามขั้นตอน หลังจากนั้นพยาบาลก็จะฉีดฟอร์มาลีนให้คุณ แต่ไม่ทันฉีด คุณก็ฟื้น”
“ผมตายไปแล้วฟื้นหรือ?”
“โดยหลักที่ผมเรียนมา คุณตายไปแล้วแน่นอน หัวใจคุณหยุดเต้น เส้นกราฟสมองนิ่ง ใช่ คุณตายไปแล้ว และฟื้นขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด”
หมอตรวจร่างกายเขาอย่างละเอียด “รู้สึกยังไง?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเพลียจากโรคประจำตัว ผมก็สบายดี เหมือนนอนหลับแล้วฝันไป”
“คุณฝันด้วยหรือ?”
“ถ้าสิ่งที่เราเห็นตอนที่ตายไปชั่วคราวเรียกว่า ‘ฝัน’ ก็ใช่ครับ ผมฝันไป แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นความฝัน มันเหมือนเป็นเรื่องจริง...”
“ไหนเล่าซิว่าคุณเจออะไร?”
“ผมรู้สึกตัวว่าเดินเข้าไปในอุโมงค์แห่งหนึ่ง ทีแรกผมรู้สึกหนาวเย็นเหมือนเดินเข้าไปในห้องเย็นหรือห้องเก็บน้ำแข็ง แต่ผ่านไปสักพัก ผมรู้สึกอุ่นสบาย ผมเดินไปเรื่อย ๆ ข้างหน้าผมเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ลมอ่อน ๆ พัดโชยมา ยอดหญ้าพลิ้วไหวไปตามแรงลม ผมเห็นท้องฟ้าสีส้ม สวยงามมาก ผมได้กลิ่นหอมของดอกไม้ ผมพบคนกลุ่มหนึ่ง ก็คือญาติพี่น้องของผมรวมทั้งพ่อแม่ผมที่ตายไปแล้ว พ่อแม่ยิ้มแย้มดีใจที่เห็นผม เรากอดกัน พ่อบอกให้ผมเดินข้ามทุ่งหญ้าไปที่ตึกหลังหนึ่ง ผมเดินเข้าไปในตึก พบว่ามันเป็นโรงพยาบาล ก็คือโรงพยาบาลนี้เอง ผมเปิดประตูเข้าไป เห็นหมอกับนางพยาบาลเดินไปมา ผมเดินไปที่ห้องคนไข้คนหนึ่งที่เพิ่งเสียชีวิต ผมไปหยุดดูศพเขา...”
“ใคร? คุณดำรงรู้จักเขาไหม?”
“ผมไม่รู้จัก เขาอายุราวหกสิบ อยู่ในห้องวีไอพี”
หมอสวัสดิ์ ชาญชีวิน ฟังแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ประสบการณ์ของคนใกล้ตายจำนวนมากคล้ายกันอย่างยิ่งคือ รู้สึกตัวลอยสูงขึ้น ผ่านอุโมงค์ที่มีแสงสว่างส่องลงมา พบญาติที่ตายไปแล้ว จะว่าไปแล้ว มันก็คือความฝันแบบหนึ่ง มันเกิดจากสมองสร้างภาพลวงตาขึ้นมา เนื่องจากคนใกล้ตายความดันตก สมองมีออกซิเจนไปเลี้ยงน้อย จะทำให้เกิดการหลั่งเอนดอร์ฟินซึ่งมีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟีน ทำให้รู้สึกสบาย เห็นอะไรสวยไปหมด ไม่อยากกลับมาอีก มันคงเป็นการทำงานของสมองเพื่อให้คนเราตายไปอย่างไม่ทรมาน”
“ถ้าผมตายจริง ผมจะฝันได้ยังไง?”
“เป็นคำถามที่ดี โดยทางเทคนิค คุณตายไปแล้ว เส้นกราฟสมองคุณนิ่ง สมองคุณไม่ทำงานแล้ว ในเมื่อสมองไม่ทำงาน โดยตรรกะ คุณก็ฝันไม่ได้”
“งั้นเป็นไปได้ไหมว่าทั้งหมดที่ผมเห็นเป็นประสบการณ์ของวิญญาณของผม?”
“ผมเป็นหมอ ผมไม่เชื่อเรื่องผีหรือวิญญาณ ผมมองว่าคุณฝันไปเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเรื่องที่คุณฝันเกี่ยวกับโรงพยาบาล เพราะคุณนอนอยู่ในโรงพยาบาล จึงฝันเรื่องราวที่คุณเห็น”
“ผมยังเล่าเรื่องของคนไข้คนนั้นไม่จบ คนไข้ที่ตายชื่อ ชาตรี รัตติกา เขาอยู่ในห้อง V 701 ชั้น 7”
สีหน้าหมอและพยาบาลเปลี่ยนไปเล็กน้อย มองหน้ากันเลิกลั่ก พยาบาลสาวกระซิบกับหมอ “เขาไม่มีทางรู้เรื่องนี้ได้”
หมอถามเขา “คุณดำรงรู้ได้ยังไงว่าที่นี่มีห้อง V 701?”
“ผมไม่รู้หรอกครับ ผมเห็นมันจากความฝันอย่างนั้นจริง ๆ” เขามองหน้าหมอ “...หมายความว่าที่นี่มีห้อง V 701 จริงหรือ?”
“ไม่เพียงมีห้อง V 701 จริง คนไข้ในห้องนั้นยังชื่อ ชาตรี รัตติกา จริง เขาเป็นคนไข้ของผม คุณบอกว่าคุณเห็นเขาตาย?”
“ใช่ บางทีตอนที่ผม ‘ตาย’ วิญญาณผมลอยไปเห็นห้องนั้น...”
“แล้วคุณชาตรีตายยังไง?”
“เขาถูกยิงตาย”
“ถูกยิงตายในโรงพยาบาลนี่หรือ?”
“ใช่ครับ ผมเห็นเขาดิ้น เลือดเต็มหน้าอก แล้วสิ้นใจตาย การ์ดที่เฝ้าหน้าห้องก็ถูกแทงล้มลง”
หมอพยักหน้าให้พยาบาลสาว หล่อนขอตัวเดินออกไปพูดโทรศัพท์ นาทีต่อมาหล่อนก็กลับมาบอกหมอ “คุณชาตรียังเป็นปกติดีค่ะ”
หมอยิ้ม “คุณดำรงแค่ฝันไป ผมคิดว่าอาจมีพยาบาลสักคนที่บังเอิญพูดเรื่องคุณชาตรี คุณนอนหลับลึกอยู่แต่ยังได้ยิน แล้วนำไปฝัน”
“เป็นไปได้หรือ?”
“เป็นไปได้สิครับ เวลาวิสัญญีแพทย์ให้ยาสลบคนไข้ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ประสาททุกส่วนหลับหมด บ่อยไปที่หมอยังสามารถคุยกับคนไข้ที่สลบอยู่ได้ เพื่อตรวจสอบร่างกายในบางเรื่อง คุณอาจได้ยินข้อมูลนี้แล้วนำไปฝัน”
พยาบาลสาวคนเดิมมาเช็ดตัวเขา เขาบอกหล่อน “ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณตกใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูดีใจที่คุณฟื้นมา”
“ผมก็ดีใจ แต่ก็รู้สึกแปลก ๆ ที่รู้ว่ามีคนไข้ชื่อ ชาตรี รัตติกา จริง ทั้ง ๆ ที่ผมฝันไป”
“คงเป็นอย่างที่หมอว่า อาจจะเป็นเรื่องที่คุณได้ยินมาก่อนก็ได้”
“ห้อง V 701 อยู่ชั้น 7 จริง ๆ หรือ?”
“ค่ะ เป็นห้องวีไอพี”
“แล้วเขามีการ์ดเฝ้าหน้าห้องจริงหรือ?”
หล่อนนิ่งไปครู่หนึ่ง “จริงค่ะ”
“ท่าทางเขาคงเป็นคนสำคัญ”
“เขาเป็นเจ้าของธนาคารธนบดี เขาป่วยหนักอยู่”
“ดีแล้วที่มันเป็นแค่ความฝัน มันน่ากลัวมาก”
เขาเป็นคนไข้ที่โรงพยาบาลนี้มาหลายปีแล้ว ก่อนหน้านั้นเขาเปลี่ยนโรงพยาบาลมาหลายครั้ง คนแนะนำว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดด้านรักษาโรคไต หมอสวัสดิ์ก็เป็นหมอที่เก่งที่สุดในด้านนี้ แม้ค่าใช้จ่ายสูงกว่าโรงพยาบาลเก่า แต่ภรรยาของเขาบอกว่า “อย่าห่วงไปเลย เราขายที่ดินมารักษาพี่ได้”
ภรรยาของเขามองการณ์ไกลเสมอ จริงของหล่อน ธุรกิจก่อสร้างของเขาไปได้ดี หากเขาหายป่วย เขาสามารถหาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ไม่ยาก
ตอนนั้นเขาเปรยกับหมอว่า “ถ้าผมตายไป เมียผมจะเดือดร้อนมาก”
หมอบอกเขาว่า “ใจเย็น ๆ คุณไม่ตายง่าย ๆ หรอก อาการของคุณไม่หนักนัก ยังรักษาจนใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้ ถ้าสามารถหาไตมาเปลี่ยนได้ คุณต้องใจเย็น ๆ”
“ผมไม่ใจเย็นแล้ว ผมรอคิวมาเจ็ดปี ยังไม่มีไตที่เข้ากับผมได้”
เขาผ่านการฟอกเลือดจากอาทิตย์ละครั้งเป็นอาทิตย์ละสองครั้ง เจ็บทรมานจนเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป หากมิใช่เพราะภรรยาของเขา หล่อนรักเขามาก ภรรยาของเขาคงลำบากหากเขาไม่อยู่แล้ว
วันนี้เขาสัมผัสความตาย มันไม่น่ากลัวเหมือนที่คิด มันก็เป็นเช่นการนอนหลับไป
เป็นความรู้สึกแปลก ๆ ที่เขาผ่านการตายแล้วกลับฟื้นขึ้นมา เหมือนทำของหายแล้วได้คืนอย่างไม่น่าเชื่อ เขาไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นไปได้ บางทียมทูตยังไม่ต้องการตัวเขา
ดำรงผ่านชีวิตในโรงพยาบาลอีกสองวัน อาการหน้ามืดก็หวนกลับมาอีกครั้ง เขาจำอาการอย่างนี้ได้ เขากำลังตาย!
เขาพยายามท่องบทสวดมนต์ ความรู้สึกเหมือนกำลังจะหลับ รอบตัวมืดลงจนดับวูบไปในที่สุด
เขาเดินเข้าไปในอุโมงค์แห่งเดิมที่เขาเคยผ่านมาแล้ว อุโมงค์นั้นมืดสลัวและเย็น เขาตายไปแล้วหรือ? เขาเป็นวิญญาณหรือ?
เขารู้สึกสบายตัว ไม่รู้สึกว่าหนาวอีกต่อไป ที่ปลายอุโมงค์เป็นท้องทุ่งดอกไม้ สายลมโชยมาอ่อน ๆ กลางทุ่งนั้นมีโรงพยาบาล เป็นตึกหลังเดิมที่เขาเคยเข้าไป เขาตรงไปหยุดที่หน้าโรงพยาบาล แล้วเขาก็เปิดประตูบานนั้น
-------------------------------------------------------------
- ตอน 2 -
เพดานสีขาว ผนังสีขาว ห้องสีขาว...
เขารู้สึกตัวแล้วลืมตา เห็นเงาร่างผู้หญิงคนหนึ่งถือเข็มฉีดยา จ่อบนขาหนีบของเขา เขาพูดว่า “อย่าเพิ่งฉีด...” ร่างนั้นผงะ วิ่งออกไป สักพักเดียว เขาก็เห็นหมอสวัสดิ์ ชาญชีวิน
หมอมองหน้าเขานิ่ง “คุณดำรงตายไปอีกครั้ง เกือบเอาไปทำพิธีศพแล้ว โชคดีที่คุณฟื้นทัน”
“ผมฝันเห็นคนตายอีกแล้ว...”
“ใคร?”
“ผมไม่รู้จักเขา แต่รู้ว่าเขาชื่อ เบญจฤทธิ์ บัญชรสินธุ์ ผมดูชื่อจากป้ายหน้าห้องทำงานของเขา ห้องทำงานของเขาอยู่ที่ชั้น 12 โรงพยาบาลนี้”
พยาบาลสาวกับหมอสบตากัน “คุณรู้จักคุณเบญจฤทธิ์ บัญชรสินธุ์ หรือ?”
“เปล่า ผมไม่รู้จัก แต่ผมฝันถึงเขา เขาเป็นใครหรือครับ?”
“เขาเป็นเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้ คุณฝันว่าเขาตายยังไง?”
“เขาถูกยิงตาย เลือดเต็มหน้าอก ตายคาโต๊ะทำงาน โต๊ะทำงานของเขาเป็นหินอ่อนสีเขียว มีรูปปั้นจำลองเดวิดขนาดเล็ก”
“ไม่มีทางที่ใครจะรู้รายละเอียดนี้ได้ เพราะมันเป็นห้องทำงานส่วนตัวของคุณเบญจฤทธิ์”
“แต่...” คนไข้เอ่ย
“อะไรครับ?”
“ยังมีรายละเอียดอย่างหนึ่งที่ผมยังไม่ได้เล่า ผมยังเห็นอีกคนหนึ่งตาย... ถูกแทงตาย”
“ใคร?”
“ผมไม่เห็นหน้า สวมเสื้อกาวน์ น่าจะเป็นหมอคนหนึ่ง”
“คุณต้องนอนพักมากหน่อย ร่างกายคุณกำลังเพลีย จึงกระทบต่อระบบประสาทของคุณไปด้วย ทำให้คุณฝันเรื่องต่าง ๆ”
“ผมกำลังจะตายใช่ไหมหมอ?”
“ผมไม่อยากโกหกคุณ อาการคุณไม่ดีนัก แต่ผมยังเชื่อว่าถ้าคุณรักษากำลังใจไว้ คุณยังไม่เป็นไร ถ้าร่างกายคุณแย่จริง ๆ คุณไม่น่าฟื้นกลับมาได้สองครั้ง”
“ช่างเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”
เขาก็รู้ว่าเวลาของเขาบนโลกนี้น้อยลงทุกที เขารู้สึกว่าพลังชีวิตของเขากำลังเหือดแห้งหายไป เขารู้สึกเหนื่อยหน่ายและอยากจากโลกนี้ไปแล้ว
คืนหนึ่งขณะที่ภรรยากุมมือเขา เขาก็หลับไป
-------------------------------------------------------------
- ตอน 3 -
เพดานสีขาว ผนังสีขาว ห้องสีขาว...
เขาตื่นขึ้น เห็นหน้าภรรยา หมอสวัสดิ์ ชาญชีวิน ยืนอยู่ข้างเตียง
เขาคราง “ผมตายไปอีกแล้วหรือ?”
“เปล่าครับ คุณไม่ได้ตายอีกรอบ และจะไม่ตายด้วย”
ภรรยายิ้มสดชื่น “หมอบอกว่าได้ไตใหม่สำหรับคุณแล้ว”
“จากไหน?”
“คนบริจาค เห็นมั้ย? ฉันบอกแล้วว่าสิ่งดี ๆ กำลังตามมา สวรรค์ยังไม่ต้องการคุณหรอก”
เขาหันไปที่หมอ “จริงหรือครับ?”
“จริง คุณโชคดีมาก เราได้รับรายงานว่ามีไตที่เข้ากับคุณได้พอดี พรุ่งนี้เที่ยงผมจะเปลี่ยนไตใหม่ให้คุณ ว่าแต่ว่ารู้สึกยังไงบ้าง?”
“ผมสบายดี”
เขารู้สึกว่าชีวิตมีความหวังขึ้นมาทันที
วันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่พยาบาลเข็นเตียงของเขาไปที่ห้องผ่าตัด ภรรยาของเขามาส่งถึงหน้าห้อง “ทำใจดี ๆ นะพี่ เดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว”
เขานอนบนเตียงนาน แต่เจ้าหน้าที่แพทย์ก็ยังไม่ปรากฏตัว
เวลาผ่านไป เขาเหลือบดูนาฬิกาบนผนัง เที่ยงครึ่งแล้ว หมอสวัสดิ์ยังไม่มา เขารอต่ออย่างอดทน บ่ายโมงแล้ว ยังไม่มีเงาร่างหมอ
เขาถามพยาบาล “เกิดอะไรขึ้น?”
“หมอสวัสดิ์มีเคสฉุกเฉินค่ะ”
จนบ่ายสอง เจ้าหน้าที่ก็เข็นเตียงของเขากลับห้องพักเดิมโดยไม่มีการผ่าตัด ได้ยินพยาบาลกระซิบกัน “ยกเลิกการผ่าตัดคุณดำรงทำไม?”
ผ่านไปสองชั่วโมง หมอสวัสดิ์ก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา สีหน้านายแพทย์เคร่งเครียด
“ผมมีเรื่องจะบอกคุณ ต้องขอโทษอย่างสูง เราทดสอบใหม่ ปรากฏว่าไตคนบริจาคไม่เข้ากับคุณ”
ใจของเขาฝ่อลง ความหวังมลาย “จริงหรือ?”
หมอพยักหน้า เขาจ้องตาหมอ แต่หมอไม่สบตาเขา
“หมอโกหกผม ไตนั่นถูกยกให้คนอื่นใช่ไหม?”
หมอเงียบไปครู่หนึ่ง “ใช่ คุณรู้ได้ยังไง?”
“ผมได้ยินพยาบาลคุยกัน”
“ผมเสียใจ ผมไม่ใช่คนกำหนดนโยบาย”
“หมอยกไตนั้นให้ใคร?”
“ผมไม่ได้ยก เจ้าของโรงพยาบาลบีบผมมา”
“ใคร?”
“คุณชาตรี เขาต่อสายตรงถึงเจ้าของโรงพยาบาล กริ๊งเดียว ผมก็ต้องทำตามคำสั่งใหม่ ผมไม่มีทางเลือกจริง ๆ”
“คุณเลยเอาไตบริจาคสำหรับผมไปให้เขา แล้วโกหกผมหน้าตาเฉยว่าไตไม่แม็ทช์กัน...”
เขาขบกรามกรอด “ผมรอมาก่อนเขา ผมรอคิวมาเจ็ดปีเต็ม”
“ผมเสียใจจริง ๆ โรงพยาบาลนี้เป็นหนี้ธนาคารของคุณชาตรีอยู่มาก คุณชาตรีสามารถทำให้เราล้มละลายได้...”
“พอ! พอ! ผมไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีกแล้ว ผมจะกลับบ้าน ไปตายที่บ้าน ผมไม่อยากอยู่โรงพยาบาลที่รักษาแต่คนมีเงิน”
เขาลุกขึ้น หน้ามืดและวูบไป หมอสวัสดิ์ตรงเข้ามาพยุง ทันใดนั้นหมอก็สะดุ้งเฮือก ก้มลงมองที่ชายโครงตัวเอง มีดผ่าตัดเล่มหนึ่งปักคาอยู่ตรงนั้น
[“ผมไม่เห็นหน้า สวมเสื้อกาวน์ น่าจะเป็นหมอคนหนึ่ง”]
เขาจ้องตาหมอ เลือดยังเลอะมือของเขา
“หมอสัญญาว่าจะรักษาผมจนหาย แต่ก็ไม่รักษาสัญญา”
เขาลุกขึ้น มองศพหมอบนพื้น
เขาถือมีดเดินย่องออกไปเงียบ ๆ ไม่มีคนสวนทางเขา เขากดปุ่มลิฟต์ ลิฟต์เปิดออกอย่างรวดเร็ว เขากดปุ่มชั้น 7
เขารู้ว่า ชาตรี รัตติกา นอนพักอยู่ที่ชั้น 7 ห้อง V 701 หน้าห้องมีการ์ดคนหนึ่งเฝ้าอยู่ แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แม้แต่เขาก็หยุดมันไม่ได้
[“ใช่ครับ ผมเห็นเขาดิ้น เลือดเต็มหน้าอก แล้วสิ้นใจตาย การ์ดที่เฝ้าหน้าห้องก็ถูกแทงล้มลง”]
แทงการ์ดคนนั้นตาย แล้วใช้ปืนของการ์ดยิงคนไข้ที่เอาไตสำหรับกูไป หลังจากนั้นก็ไปที่ชั้น 12 ยิงเจ้าของโรงพยาบาลเวรนี่...
Cr: วินทร์ เลียววาริณ
No comments:
Post a Comment