การพูดถึงผู้อื่นมีหลายระดับ
ตั้งแต่การวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นไปจนถึงการนินทา กล่าวหา
ว่าร้าย...ตามระดับเนืื้อหาที่ค่อยๆรุนแรงขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว
คนเรามักจะจำคำพูดที่ถูกนินทาว่าร้ายได้ไม่มีวันลืม และคนที่ถูกนินทาก็จะตอบโต้กลับด้วยคำนินทาที่รุนแรงกว่าเดิม...ซึ่งเปรียบเสมือนกับบูมเมอแรง
ที่มักจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองในที่สุด
ในขณะที่ในปัจจุบัน
ไม่ว่าสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ
ต่างก็มีเนื้อหาในทางกล่าวหา ว่าร้าย นินทาอยู่เต็มไปหมด ทำให้สภาพสังคมทุกวันนี้
หลีกหนีจากคำนินทาไม่มีทางพ้น...ซึ่งเป็นมารยาทที่น่าเป็นห่วงของสังคมยุคนี้จริงๆ
ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่เคยวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นอยู่ด้วยเหมือนกัน
และเมื่อมองย้อนกลับมาแล้วจึงรู้สึกเสียใจในคำพูดของตนเองที่ได้พูดเช่นนั้นออกไป
การฝึกตัวเองเพื่อไม่ให้กล่าววิพากษ์วิจารณ์จนถึงนินทาผู้อื่น
ล้วนต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก...เพราะในบางครั้งอารมณ์ความสนุกของเรามักจะทำให้พูดวิจารณ์ถึงบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนาด้วย...ซึ่งเป็นการไม่ยุติธรรมเลยกับบุคคลที่ถูกกล่าวถึงและที่สำคัญหากมีเพื่อนที่ฟังอยู่หลายคนเค้าก็รู้สึกว่า
เราเป็นคนที่ไม่น่าคบเอาเสียเลย
ความเป็นจริง ก็คือ
ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกนินทาลับหลังไปได้
สิ่งที่ทำได้ ก็คือ ตั้งใจว่าต่อไปนี้
จะไม่วิพากษ์วิจารณ์ นินทา ว่าร้ายผู้อื่น หรือสิ่งใดๆเป็นอันขาด
และเมื่อเวลาผ่านไป
เราก็จะได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างว่า "เป็นคนที่ไม่นินทาใครลับหลัง"...ซึ่งทำให้ทุกคนต่างก็ชื่นชอบและนับถือมากที่สุด
1) การกระทำที่ผิดพลาดของผู้อื่น
ช่วยให้รู้สึกดีกับพฤติกรรมตนเองมากขึ้น
2) การพูดคุยถึงชีวิตของผู้อื่น
ช่วยให้ตนเองหลบเลี่ยงจากปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้
3) การซุบซิบนินทา
ทำให้รู้สึกมีอำนาจควบคุม เพราะจะคิดว่าตนเองรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้
และคนอื่นๆจะต้องเข้ามาหา ทำให้รู้สึกว่าตนเองเป็นคนสำคัญ และมีคุณค่า
ดังนั้นหากเราต้องเจอคนประเภทนี้โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือคนรอบข้างที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย
เราสามารถเอาเทคนิค ดังต่อไปนี้ไปใช้ได้
ตัวอย่างเช่น คุณอยากให้เลขาฯ
ของคุณที่ชื่อ "สมใจ" เลิกนินทาคนอื่นเสียที
ทำให้เขากล่าวคำพูดที่สื่อว่าเขาไม่ใช่คนที่ชอบซุบซิบนินทา
จากผลการวิจัย..ธรรมชาติของมนุษย์เราต้องการความสอดคล้องระหว่างความคิดกับการกระทำ...เมื่ือทำให้คนที่ชอบซุบซิบนินทา
พูดว่าเค้าไม่ชอบการนินทาคนอื่นได้แล้ว เค้าจะถูกสกัดกั้นพฤติกรมนั้นโดยไม่รู้ตัว
สมชายจึงใช้วิธีการถามกับพ่อของตนเองว่า
"พ่อคิดเหมือนผมไหมว่า คนอื่นๆจะชอบสมเกียรติมากขึ้น
ถ้าหากเค้าไม่เที่ยวซุบซิบนินทาเรื่องชาวบ้าน"
เมื่อพ่อสมชายแสดงความเห็นออกมาเป็นคำพูดแล้ว
เค้าย่อมรู้สึกลำบากใจหากไม่ทำในสิ่งที่พูด
เทคนิคที่ 3 คือ ปล่อยเชื้อไวรัส
แพร่กระจายข่าวลืออันไร้สาระอย่างต่อเนื่อง
ทำให้พวกขี้นินทาสับสนว่าเรื่องไหนเรื่องจริง เรื่องไหนเป็นเรื่องเท็จ
ในที่สุดเขาก็จะเบื่อหน่ืายกับการนินทาไปเสียเอง โดยให้เลือกข่าวที่ไร้สาระที่สุด
และต้องไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลใดบุคลหนึ่ง
และเมื่อพิศมัยแพร่เรื่องนี้ออกไป
คำที่เขากล่าวก็จะทำลายชื่อเสียงของตัวเขาเอง
และเขาก็จะรู้ว่าการซุบซิบนินทาเป็นเรื่องไร้สาระในที่สุด
3 เทคนิคเหล่านั้น
เป็นวิธีการของนักจิตวิทยาระดับโลกแนะนำ ซึ่งผู้เขียนได้เอามาเรียบเรียงให้สั้นกระชับ
ง่ายต่อการอ่าน และนำไปใช้ได้ทันที...หากใครลองนำไปใช้แล้วได้ผลอย่าลืมคอมเม้นมาคุยกันบ้างนะคะ
---------------------------------------------------
"การตำหนิติเตียนความผิดพลาดเล็กๆ
น้อยๆ มากเกินไป
ก็เหมือนกับการใช้ขวานจามแมลงวันตัวเล็กๆ
ที่เกาะอยู่บนหน้าผากของเพื่อนๆ"
อี้หมิง
No comments:
Post a Comment