ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ขอนำแฟนๆ ไปฟังคำบอกเล่าจากปากของผู้ใกล้ชิดที่สุด 2 คน ของหลวงพ่อคูณ เทพเจ้าแห่งด่านขุนทด ก่อนที่ท่านจะละสังขาร คือ นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ประจำตัวที่ดูแลท่านมาเป็นเวลานานกว่า 19 ปี ส่วนอีกคนคือ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นักการเมืองผู้คร่ำหวอดแห่งเมืองโคราช ลูกศิษย์คนสนิทที่ใกล้ชิดกันมาเกือบ 20 ปี ซึ่งจะมีเรื่องเล่า ทั้งที่เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ ไม่สามารถอธิบายได้ และคำพูดสุดท้ายปริศนา ของหลวงพ่อ....
นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ประจำตัว พระเทพวิทยาคม หรือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ รื้อฟื้นความทรงจำ ถึง เทพเจ้าแห่งด่านขุนทด ก่อนกล่าวเปิดใจกับ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ว่า ได้มีโอกาสดูแลหลวงพ่อคูณ ครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 ตราบจนกระทั่งหลวงพ่อได้ละสังขาร นับเป็นเวลามานานกว่า 19 ปี
เพียงแค่นึก จู่ๆ ก็ได้เหรียญหลวงพ่อมาบูชา
โดยก่อนหน้าที่คุณหมอคู่ใจเทพเจ้าแห่งด่านขุนทด จะได้มีโอกาสพบหลวงพ่อคูณครั้งแรกนั้น นพ.พินิศจัย ได้ถ่ายทอดเรื่องอัศจรรย์ที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้ ให้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ฟังว่า ในปี พ.ศ.2537 ซึ่งตอนนั้นคุณหมอ ยังทำหน้าที่เป็นแพทย์ใช้ทุนหลวง อยู่ที่ รพ.มหาราช จ.นครราชสีมา ในช่วงวันสุดท้ายของการทำงาน ก่อนที่จะลาจากจังหวัดโคราช เพื่อเดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร เพื่อมาเรียนต่อด้านโรคหัวใจ ที่ รพ.ศิริราช นั้น จู่ๆ ไม่รู้นึกอย่างไร ได้พูดเปรยๆ กับภรรยา ว่า
"เอ… เราสองคนเนี่ย อยู่โคราชกันมาตั้ง 4 ปี แล้ว ยังไม่เคยได้มีโอกาสไปกราบนมัสการ หรือมีเหรียญของหลวงพ่อคูณ เอาไว้บูชากันสักเหรียญเดียว ทั้งๆ ที่อยู่ จ.นครราชสีมา แท้ๆ แถมในตอนนั้น ท่านก็โด่งดังมาก" แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ..............คุณเชื่อไหม วันรุ่งขึ้น คนไข้คนแรกที่เข้ามาตรวจรักษากับผม จู่ๆ ก็ควักเอาเหรียญของหลวงพ่อ มาให้ผมบูชา หลังจากที่ได้ตรวจรักษาเสร็จ" คุณหมอพินิศจัย กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบใจ เมื่อนึกได้ถึงความหลังครั้งนั้น
"ตอนนั้น ผมยอมรับตรงๆ เลยว่า ในใจเริ่มรู้สึกว่า เอ… มันน่าจะแปลกๆ ยังไงๆ อยู่ เหมือนกับว่ามันน่าจะมีความพิเศษอะไรบางอย่างเกิดขึ้น"
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ สิ่งอัศจรรย์ดลใจวางแผนรักษาพ่อคูณล่วงหน้า
และก็เหมือนจะเป็นโชคชะตาที่ดลบันดาลให้ นพ.พินิศจัย จะได้มาเป็นหมอคู่ใจของเทพเจ้าแห่งด่านขุนทด เพราะในเวลาต่อมา หลังจากเรียนจบทางด้านโรคหัวใจโดยตรง จาก รพ.ศิริราช และกลับมาทำงาน ที่ รพ.มหาราช อีกครั้งในปี พ.ศ.2539 นั้น เหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญที่อัศจรรย์เกินกว่าจะคิดได้ จู่ๆ หลวงพ่อคูณ ก็ถูกส่งตัวมารักษาด่วน ด้วยอาการ ภาวะเส้นเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน ซึ่งนั่นถือเป็นครั้งแรกของโชคชะตา ที่ทำให้คุณหมอได้พบกับ หลวงพ่อคูณ เป็นครั้งแรกในชีวิต
ซึ่งในครั้งนั้น คุณหมอ กล่าวยอมรับกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ว่า "ตอนนั้นผมยอมรับเลยว่า รู้สึกกลัวๆ เกรงๆ และรู้สึกกังวลพอสมควร เพราะในตอนนั้น ท่านถือเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ ที่มีคนเคารพรักกันทั้งแผ่นดิน แถมอาการภาวะเส้นเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน ที่เกิดขึ้นกับหลวงพ่อในเวลานั้น ถือเป็นภาวะวิกฤติทางหัวใจและหลอดเลือด ที่มีความเสี่ยง อัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง" แต่ที่สุดแล้ว ก็สามารถทำการรักษาจนอาการหลวงพ่อดีขึ้นๆ ตามลำดับ
"แต่ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่นะ" คุณหมอผู้มากประสบการณ์ในการรักษาคนไข้โรคหัวใจ พูดกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ก่อนเล่าเรื่องอัศจรรย์ ที่คุณหมอเองก็ยอมรับว่า รู้สึกว่าแปลกๆ ทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้ ว่า
"ก่อนที่ผมจะได้รักษาหลวงพ่อในครั้งแรก คุณเชื่อไหม มันเหมือนกับมีอะไรบางอย่าง มาดลจิตดลใจ ให้ผมเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการรักษาในกรณีที่หลวงพ่อ ท่านเกิดภาวะเส้นเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน อธิบายง่ายๆ ให้เห็นภาพก็คือ เหมือนมีใครมาวางแผน ใส่โปรแกรมให้เรา เตรียมพร้อมเอาไว้ ซึ่งตอนนั้น ผมเองก็บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ที่น่าอัศจรรย์ก็คือ ที่สุดแล้ว มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ซึ่งทำให้เมื่อถึงเวลาต้องทำการรักษาหลวงพ่อ เราก็ได้ทำตามที่เราเตรียมพร้อมเอาไว้ เหมือนกับว่า เราคิดไว้ก่อนแล้ว"
สุดอัศจรรย์ เทพเจ้าด่านขุนทด รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเป็นจริงดั่งลั่นวาจา
และไม่ใช่เรื่องนี้ เพียงเรื่องเดียวที่ทำให้คุณหมอคู่ใจเทพเจ้าแห่งด่านขุนทด รู้สึกอัศจรรย์ใจตลอดเวลาที่ได้ดูแลหลวงพ่อ มาเป็นเวลานานกว่า 19 ปี โดยก่อนที่จะเล่า คุณหมอได้เกริ่นนำ ไว้อย่างน่าติดตามว่า
"ผมอยากจะเรียนให้ทุกท่านได้ทราบว่า สำหรับใครที่ยังไม่เคยได้ไปกราบหลวงพ่อ ต้องไปกราบ เพราะหลวงพ่อท่านมีอะไรหลายอย่าง ที่เราซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถอธิบายหรือหาคำตอบ ในทางวิทยาศาสตร์ได้"
อยากจะรู้กันแล้วใช่ไหม? บรรดาแฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ ………. งั้นเราไปฟังคำบอกเล่าของ คุณหมอพินิศจัย กันต่อไปเลยดีกว่า........
"อันนี้ ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่นะครับ คือ หลวงพ่อท่านมักจะรู้อะไรล่วงหน้า ที่เราจะทราบ และก็มักจะตรงด้วย โดยเรื่องแรกที่ผมขอเล่าก็คือ เมื่อ 4 ปีก่อน ที่หลวงพ่อป่วยโดยมีอาการทางปอด และได้เข้ามาทำการรักษาที่ รพ. ซึ่งตอนนั้น ในส่วนตัวก็คิดว่า ท่านนอนพักรักษาตัวสัก 1 เดือน ซึ่งก็ถือว่าเยอะแล้ว และก็น่าจะหายจนกลับวัดได้ แต่ท่านกลับบอกกับบรรดาลูกศิษย์ว่า ท่านจะนอนรักษาตัวที่ รพ.ไปจนกระทั่งถึงปีหน้า ซึ่งก็จะกินระยะเวลาประมาณถึง 6 เดือน ตอนนั้น ผมบอกตรงๆ เลยว่า ไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไร แต่ที่สุดแล้ว มันก็เป็นจริงตามที่หลวงพ่อท่านได้ลั่นวาจาเอาไว้จริงๆ"คุณหมอ กลั้วเสียงหัวเราะ ก่อนจะบรรยายความให้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ฟังต่อ
"ตอนนั้นจำได้เลยว่า ท่านมีอาการแทรกซ้อนตามมาหลายอย่าง จนกระทั่งต้องนอนพักรักษาตัว ยาวนานกว่า 6 เดือน ตามที่ท่านพูดไว้จริงๆ"
ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจลำดับต้นๆ ของประเทศ เล่าให้ฟังต่อว่า "อีกเรื่องหนึ่ง มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ผมตรวจอาการท่าน อยู่ในห้องพักของ รพ.มหาราช จู่ๆ ก็มีคนเข้ามาแจ้งว่า อีกประมาณ 1 ชั่วโมง ท่านผู้ว่าฯ โคราช จะเดินทางมาประชุมเรื่องเครื่องมือแพทย์ สิ้นคำนั้น หลวงพ่อท่านก็พูดสวนขึ้นมาทันทีว่า ผู้ว่าฯ อยู่ข้างล่างแล้ว! ซึ่งก็สุดที่จะเหลือเชื่อคือ ท่านผู้ว่าฯ ท่านก็มาถึงแล้วจริงๆ ดังที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ ผมเองบอกตรงๆ ว่า รู้สึกพิศวงงวยงงมาก เพราะทั้งท่านและผม อยู่ในห้องพักตลอดเวลา ซึ่งก็ไม่น่าเป็นไปได้เลยที่ท่านจะทราบว่า ท่านผู้ว่าฯ ท่านเดินทางมาถึงแล้ว"
"จริงๆ ยัง มีเรื่องอัศจรรย์อีกหลายเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อ ซึ่งตัวผมเอง ก็ไม่สามารถจะอธิบายได้ แต่ขออนุญาตไม่เล่าให้ฟัง เพราะเกรงว่าบางเรื่องอาจจะไม่เหมาะสม และไม่สมควรที่จะพูดออกไป แต่สำหรับผม คงบอกได้เพียงว่า หลวงพ่อคูณ ท่านไม่ธรรมดา สมกับที่ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ ดั่งสมญา เทพเจ้าแห่งที่ราบสูงจริงๆ"
รับมีลางสังหรณ์ ก่อนพ่อคูณ ละสังขาร
แล้วคุณหมอ เกิดลางสังหรณ์อะไร ก่อนเกจิชื่อดังแห่งวัดบ้านไร่ จะละสังขารหรือไม่? คำถามนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ เชื่อว่าหลังจากได้ฟังเรื่องราวอัศจรรย์ต่างๆ จากหมอคู่ใจหลวงพ่อคูณ คงจะอยากถามคำถามนี้ เอากับคุณหมอ ในทันทีเช่นเดียวกันแน่ๆ
"อึม….. มีครับ" คุณหมอพินิศจัย ชั่งใจเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อไปว่า "แต่ในตอนที่เกิด ซึ่งผมขออนุญาตไม่เล่าว่าเกิดสิ่งใดขึ้นนั้น คือสักประมาณสองวันก่อนหน้านี้ ในตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าจะเกี่ยวอะไรกับท่าน แต่หลังจากท่านได้ละสังขาร ผมก็มาคิดในใจว่า อ้อ คงจะถึงเวลาของท่านแล้วจริงๆ"
คำพูดสุดท้ายหลวงพ่อ ปริศนาธรรม "นับจากนี้ไปจะดี"
อะไรคือคำพูดสุดท้ายที่คุณหมอ ได้มีโอกาส สนทนาธรรมกับเกจิชื่อดังแห่งวัดบ้านไร่? คุณหมอพินิศจัย นึกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเล่าให้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ฟังว่า ในช่วงหลังนี้ๆ ท่านพูดน้อยมาก เนื่องจากมีอาการป่วย แต่ครั้งสุดท้ายที่ผม ได้มีโอกาสสนทนากับท่านเป็นการส่วนตัว สักประมาณ 6 เดือนก่อนหน้านี้ ก็คือ "นับจากนี้ไปจะดี" ซึ่งหลังจากนั้นท่านก็ไม่พูดอะไรอีกเลย แม้แต่ในช่วงสัก 2-3 วัน ก่อนหน้าที่ท่านจะละสังขาร ที่ผมได้เข้าไปกราบท่าน ท่านก็ไม่พูดอะไรอีกเลย พวกเราก็ไปตีความหมายกันเอาเองแล้วกัน ว่า ท่านหมายถึงอะไร?
ส่วน 19 ปี ที่ได้มีโอกาสรักษาหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด รู้สึกประทับใจอะไรในตัวท่านมากที่สุดนั้น คุณหมอพินิศจัย กล่าวว่า "หลวงพ่อท่านเป็นพระมีเสน่ห์อย่างล้นเหลือ ใครได้มีโอกาสเข้าใกล้ท่าน จะรักท่านและรักท่านจากใจจริงกันทุกคน และเป็นความรักที่เกิดจากความศรัทธาไม่ใช่รักแบบงมงาย
ผมจำได้เลยว่า ในวันสุดท้ายที่หลวงพ่อท่านละสังขาร บรรยากาศใน รพ. ทุกตารางนิ้ว เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและคราบน้ำตา พยาบาลและเจ้าหน้าที่เกือบทุกคน ไม่มีใครสามารถกลั้นน้ำตาได้อยู่ และผมเชื่อว่าทุกๆ คน ไม่มีใครอยากให้ท่านจากไป...."
อีกเรื่องที่ผมรู้สึกประทับใจในตัวหลวงพ่อ คือ ท่านเป็นพระที่ติดดินและเสียสละ หลวงพ่อท่านไม่มีอะไรติดตัวท่านเลย หากใครได้มีโอกาสไปพบท่าน ก็จะรู้ว่า ท่านไม่เหมือนพระที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ เลย และท่านยังทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองอย่างมหาศาล เท่าที่ลูกศิษย์เล่าให้ผมฟัง ซึ่งก็อาจจะเป็นตัวเลขคร่าวๆ ก็คือ ตลอดชีวิตของหลวงพ่อท่านบริจาคเงินให้กับสาธารณประโยชน์ ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท!
แพทย์ผู้ดูแลหลวงพ่อคูณ มาเป็นเวลาถึง 19 ปี กล่าวทิ้งท้ายว่า การที่หลวงพ่อคูณ ท่านบริจาคร่างให้กับ รพ.ขอนแก่น นั้น ถือเป็นความภูมิใจและโชคดีสูงสุดของมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพราะได้มีอาจารย์ใหญ่ ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ยอมอุทิศร่าง มาให้พวกเรานักศึกษาแพทย์ได้ทำการศึกษา
ที่สุด คุณหมอคู่ใจหลวงพ่อคูณ กล่าวทิ้งท้ายว่า ผมอยากให้ทุกท่านได้ระลึกถึงคำสั่งสอนดีๆ ของหลวงพ่อ และนำไปปฏิบัติ เพราะถือเป็นแสงสว่างในการนำทางชีวิตได้ ยกตัวอย่างเช่น คำสอนหนึ่งที่ตัวผมเองชื่นชอบก็คือ "คนเราเกิดมาเพื่อสู้ ไม่ได้เกิดมาเพื่อแพ้" ซึ่งตลอดชีวิตของหลวงพ่อท่านก็สู้จริงๆ ผมจำได้เลยว่า ตอนท่านอายุประมาณ 80 กว่าๆ ทั้งที่ยังอยู่ในอาการอาพาธ ท่านก็พยายามลงมาเดินเคาะให้บรรดาประชาชนจำนวนมหาศาล ที่หลั่งไหลกันมากราบไหว้ และแม้กระทั่งบรรดาลูกศิษย์ ยังบ่นๆ ว่า ทำไมยังมากันอีก หลวงพ่อท่านเหนื่อยแล้ว หลวงพ่อท่านก็เลยพูดออกไปว่า "ไม่เป็นไรดอก เค้ามากันตั้งไกล กู อยู่แค่นี้เอง" นี่แหละคือความเมตตาของหลวงพ่อ ที่ประทับอยู่ในความทรงจำของชาวไทย ที่จะไม่มีวันลืมเลือน และส่วนตัวผมรู้สึกโชคดีมากๆ ที่ได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับท่าน
ที่สุด คุณหมอคู่ใจหลวงพ่อคูณ กล่าวทิ้งท้ายว่า ผมอยากให้ทุกท่านได้ระลึกถึงคำสั่งสอนดีๆ ของหลวงพ่อ และนำไปปฏิบัติ เพราะถือเป็นแสงสว่างในการนำทางชีวิตได้ ยกตัวอย่างเช่น คำสอนหนึ่งที่ตัวผมเองชื่นชอบก็คือ "คนเราเกิดมาเพื่อสู้ ไม่ได้เกิดมาเพื่อแพ้" ซึ่งตลอดชีวิตของหลวงพ่อท่านก็สู้จริงๆ ผมจำได้เลยว่า ตอนท่านอายุประมาณ 80 กว่าๆ ทั้งที่ยังอยู่ในอาการอาพาธ ท่านก็พยายามลงมาเดินเคาะให้บรรดาประชาชนจำนวนมหาศาล ที่หลั่งไหลกันมากราบไหว้ และแม้กระทั่งบรรดาลูกศิษย์ ยังบ่นๆ ว่า ทำไมยังมากันอีก หลวงพ่อท่านเหนื่อยแล้ว หลวงพ่อท่านก็เลยพูดออกไปว่า "ไม่เป็นไรดอก เค้ามากันตั้งไกล กู อยู่แค่นี้เอง" นี่แหละคือความเมตตาของหลวงพ่อ ที่ประทับอยู่ในความทรงจำของชาวไทย ที่จะไม่มีวันลืมเลือน และส่วนตัวผมรู้สึกโชคดีมากๆ ที่ได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับท่าน
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรคชาติพัฒนา นักการเมืองผู้ใกล้ชิด พระเทพวิทยาคม หรือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย กล่าวเปิดใจกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ว่า ผมได้มีโอกาสรู้จักกับหลวงพ่อคูณเป็นครั้งแรก ตั้งแต่สมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหวัน ผู้ล่วงลับ เป็นนายกรัฐมนตรี ประมาณปี พ.ศ.2531 โดย พล.อ.ชาติชาย ซึ่งมีความเคารพรักและศรัทธาหลวงพ่อคูณ เป็นอย่างมากนั้น จะแวะไปเยี่ยมเยือนวัดบ้านไร่อยู่เป็นประจำ ทำให้มีโอกาสติดสอยห้อยตามคณะไปนมัสการหลวงพ่อด้วย ซึ่งนับจากวันนั้นจนวันนี้ ก็ผ่านระยะเวลามานานกว่า 20 ปีแล้ว
สั่งสอน เป็นนักการเมืองต้องเสียสละ คิดถึงส่วนรวม
"โดยตลอดระยะเวลา ที่ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ ท่านจะสอนสั่งให้ผม ได้มีจิตสำนึกของความเป็นนักการเมือง ที่จะต้องทำประโยชน์ให้กับจังหวัดโคราช และประเทศชาติ อยู่ในทุกครั้งที่ได้มีโอกาสพบกัน โดยคำพูดที่หลวงพ่อมักจะใช้ในทุกๆ ครั้งที่พบกันก็คือ มึงนี่อยู่โคราชนะ มึงต้องดูแลคนโคราช มึงต้องทำงานเพื่อคนโคราช และที่สำคัญมาทำงานเพื่อส่วนรวม ต้องเสียสละ นะโว้ย ซึ่งคำสั่งสอนแบบชาวบ้านๆ ที่ฟังดูง่ายๆ เหล่านี้แหละ ที่ทำให้ผมรู้สึกประทับใจในตัวหลวงพ่อเสมอมา"
นอกจากนี้ ทุกข์ร้อนต่างๆ ของพี่น้องชาวจังหวัดนครราชสีมา ที่ร้องผ่านท่านเวลามากราบนมัสการ ท่านก็ไม่เคยนิ่งเฉย และจะเป็นธุระจัดการปัดเป่าให้เสียทุกครั้ง โดยเวลาที่ผมไปกราบนมัสการ ท่านก็จะสั่งการให้ผม ไปช่วยดูแลแก้ไขให้ ซึ่งในเรื่องนี้ เป็นเครื่องสะท้อนตัวอย่างของความเสียสละเพื่อส่วนรวมของหลวงพ่อ ได้เป็นอย่างดี นายสุวัจน์ กล่าว
เป็นถึงลูกศิษย์เอกคนหนึ่งของเกจิชื่อดังแห่งภาคอีสาน ได้ของดีจากหลวงพ่อไว้บูชาหรือไม่
ปัจจุบัน ผมมีเหรียญหลวงพ่อคูณคล้องติดตัวอยู่ตลอดเวลา คือ เหรียญรุ่นยอดธง รุ่นที่ 1 ซึ่งมีเพียง 99 องค์ในประเทศไทยเท่านั้น โดยรุ่นนี้จัดสร้างขึ้น เมื่อครั้งที่หลวงพ่อคูณมีอายุครบ 72 ปี
ส่วนอีกรุ่นหนึ่งคือ รุ่นคูณพิทักษ์ ถูกจัดสร้างขึ้นที่ โรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์ ซึ่งอยู่ในค่ายสุรธรรมพิทักษ์ กรมทหารราบที่ 23 กองทัพภาคที่ 2 โดยในครั้งนั้น จำได้ว่า หลวงพ่อคูณ ได้เชิญ พล.อ.ชาติชาย กับผมไปเป็นประธาน ซึ่งวัตถุมงคลชิ้นนี้นี่เอง ที่ทำให้ผมพบเจอเรื่องอัศจรรย์ที่ยากจะมีคำอธิบายได้... นักการเมืองชื่อดังกล่าวทิ้งท้ายให้ชวนติดตาม
สุดมหัศจรรย์ เหรียญคูณพิทักษ์ คุ้มครอง ขับรถตกเหวลึก 50 เมตร รอด! ไร้รอยขีดข่วน
นายสุวัจน์ กล่าวต่อว่า หลังจากปลุกเสกเสร็จ หลวงพ่อท่านก็มอบเหรียญนี้ ให้กับมือของผมเลย พร้อมกับกล่าวว่า "เอา มึงเอาไว้ จะได้คุ้มครอง" พอรับจากมือท่าน ผมก็เอาใส่กระเป๋าเสื้อสูทไว้ จากนั้นก่อนออกเดินทางกลับกรุงเทพฯเหมือนจะมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง เพราะ พล.อ.ชาติชาย ได้หันมาถามว่า "ทำไมไม่นั่งรถกลับด้วยกันล่ะ" ผมก็ตอบไปว่า "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะขับรถกลับมาเอง"
จากนั้นก็ขับรถมุ่งหน้ากลับมาเองคนเดียว แถมยังไปคนละเส้นทางกับ อดีตนายกรัฐมนตรี เสียด้วย และเมื่อรถมาถึงโค้งร้อยศพ ใน อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นที่เลื่องลือกันอย่างมาก เป็นสถานที่ที่เกิดอุบัติเหตุและมีผู้เสียชีวิตอยู่เป็นประจำ ก็ปรากฏว่า จู่ๆ มีรถสิบล้อคันหนึ่งวิ่งสวนพุ่งเข้ามาหารถด้วยความเร็ว ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้น จึงได้ตัดสินใจหักหลบแบบชนิดฉิวเฉียด จนทำให้รถเสียหลักร่วงกลิ้ง 5-6 ตลบ ตกลงไปในหุบเหวลึกข้างทางที่สูงกว่า 50 เมตร ตัดต้นไม้ขาดไป 5-6 ต้น ตอนนั้น บอกตรงๆ เลยว่า ในใจคิดว่า ยังไงคงไม่รอดแน่ แต่เชื่อไหม ผมกลับไม่เป็นอะไรเลย และแถมไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ ด้วย ทั้งที่ๆ รถที่ขับมาคือ รถเบนซ์ 190E พังยับชนิดจำไม่ได้ทั้งคัน ตอนรถหยุดนิ่งจำได้เลยว่า ตัวเองยังงงๆ อยู่ คิดไม่ออกด้วยซ้ำว่า ตอนนี้อยู่หรือตายไปแล้ว
จนชาวบ้านที่มาช่วย เคาะกระจกเรียก ถึงพอจะมีสติบอกตัวเองว่ายังไม่ตาย จากนั้นจึงชี้นิ้วมาที่ตัวเอง เพื่อถามชาวบ้านเหล่านั้นให้แน่ใจว่า "นี่ผมยังไม่ตายใช่ไหม" จากนั้นพอช่วยกันทุบกระจกเอาตัวออกมาได้ เชื่อไหมคำแรกที่พลเมืองดีเหล่านั้น พูดกับผมคืออะไร? "ขอหลวงพ่อคูณหน่อยสิ" ตอนนั้น ทำให้ผมเชื่อเลยว่า ชาวบ้านมีแรงศรัทธาต่อหลวงพ่อคูณมากแค่ไหน เพราะทุกคนเชื่อมั่นว่า หากมีหลวงพ่อคูณไว้กับตัว จะแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุต่างๆ ได้อย่างแน่นอน
สิ้นคำของชาวบ้าน จึงรีบเอามือลูบตามเสื้อสูท หาเหรียญรุ่นคูณพิทักษ์ ที่ได้จากมือของหลวงพ่อทันที แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ จนกระทั่งเมื่อปีที่ผ่านมา จึงได้ไปขอเหรียญรุ่นนี้จากทางวัดบ้านไร่ กลับมาบูชาได้อีกครั้งหนึ่ง
ยอมรับ มีคำทำนายพิเศษส่วนตัว แต่ขอไม่เปิดเผย
ถือเป็นอีกหนึ่งศิษย์เอกของหลวงพ่อคูณ ก่อนที่ท่านละสังขาร มีคำทำนายอนาคต เป็นการส่วนตัวเอาไว้ให้เป็นพิเศษหรือไม่ …… แกนนำพรรคชาติพัฒนา หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนตอบคำถามนี้ว่า.... "มีครับ" .......แต่ขออนุญาตเก็บไว้เป็นการส่วนตัว นายสุวัจน์ หัวเราะทิ้งท้ายเป็นปริศนาอีกครั้ง
คำสอนพ่อคูณ เป็นวิทยาศาสตร์มีเหตุมีผล
แกนนำพรรคชาติพัฒนา กล่าวต่อว่า อยากให้ทุกคน ได้ลองพินิจพิจารณาคำสั่งสอนที่ฝากไว้ให้โลก กันให้ดีๆ เพราะคำสอนของท่านเป็นวิทยาศาสตร์ และมีเหตุมีผล ยกตัวอย่างเช่น การสอนเรื่องความไม่ประมาท ท่านก็จะพูดว่า " ที่ใครๆ พูดว่า ใครพกเหรียญหลวงพ่อคูณแล้ว จะไม่ตาย รถไม่ชน ไม่มีอุบัติเหตุ จริงๆ แล้ว ใครๆ ก็พูดกันได้ว่ามีกู แล้วไม่ตาย ก็เพราะคนพวกนี้ไม่ตายยังไงล่ะ ถึงได้มาพูดกันได้ แต่ไอ้พวกที่มีกูแล้วตาย เค้ามาพูดกันได้ที่ไหนว่ามีกู แล้วก็ยังตาย เพราะฉะนั้น เรื่องอุบัติเหตุ ใครจะมาพูดว่ามีกูแล้วไม่ตาย ไม่จริงหรอก สำคัญที่สุดคือ มึงมีกู แล้วมึงเชื่อกูบอก กูบอกว่าไง กูบอกว่าอย่าประมาทสิ" นายสุวัจน์ เล่าให้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ อย่างอารมณ์ดี
"รู้มั้ยคำสอนเรื่องอุบัติเหตุนี่ ผมอยากเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง สมัยก่อนที่ท่านแข็งแรง เวลาใครนิมนต์ให้ไปไหนมาไหน ท่านจะชอบนั่งรถเบาะหน้าทุกครั้ง แล้วก่อนที่รถจะออก ท่านจะบอกกับบรรดาผู้ติดตามทุกครั้งไปว่า เฮ้ย พวกมึง หากรถวิ่งเร็วเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กูโดดหนีก่อนนะ ซึ่งก็ได้ผล เตือนสติบรรดาลูกศิษย์ลูกหาได้เป็นอย่างดี"
ความเชื่อหลวงพ่อเหยียบโฉนด แล้วจะขายได้... จริงๆ แฝงธรรมะสอนสั่ง
อีกคำสอนหนึ่งของเกจิชื่อดังของวัดบ้านไร่ ที่ทำให้นักการเมืองผู้คร่ำหวอดในจังหวัดโคราช รู้สึกชื่นชอบเป็นพิเศษ ก็คือ คำสอนเรื่องการใช้เงิน ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่า เวลาใครมาขอพรจากหลวงพ่อท่าน ก็มักจะมาขอเรื่องโชคลาภ ขอให้ร่ำขอให้รวยกันเป็นส่วนใหญ่ ท่านจึงมีวิธีสั่งสอนว่า เอาล่ะ จะมาขอพรให้ร่ำให้รวย ท่านก็จะให้ แต่เวลามีเงินแล้ว อย่าเป็นทาสของเงิน ใช้เงินให้เป็น และที่สำคัญเมื่อมีแล้วก็ให้บริจาค เหมือนดั่งคำที่ว่า "ยิ่งอยากได้ก็จะยิ่งอด แต่ถ้าให้หมดแล้วก็จะยิ่งได้" ซึ่งพวกคุณรู้ไหมในเรื่องนี้ หลวงพ่อคูณ ท่านทำให้บรรดาคนใกล้ชิดได้เห็นอยู่เสมอๆ เห็นได้จากเวลามีใครนำเงินมาถวายเงินบริจาคให้ท่าน หากใครยื่นแบงก์ร้อยมา 2 ใบ ท่านจะเอาไว้ 1 ใบ อีก 1 ใบ ท่านจะส่งคืนให้ เพราะฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ตั้งแต่ท่านบวชเรียนมา 71 พรรษา ท่านจึงมีเงินบริจาคให้สาธารณกุศลต่างๆ เป็นพันๆ ล้านบาท
อีกคำสอนหนึ่ง ที่เป็นที่จดจำเป็นพิเศษก็คือ จำได้สมัยก่อนที่คนมักจะนิยมนำโฉนดที่ดิน มาให้หลวงพ่อท่านเหยียบ ด้วยความเชื่อว่า เมื่อท่านเหยียบแล้ว จะเป็นสิริมงคล ทำให้สามารถขายที่ดินได้ พอหลวงพ่อท่านเหยียบให้แล้ว ท่านก็มักจะสอนสั่งว่า" เออ กูขอให้มึงขายได้นะ แต่ไอ้การค้าการขายเนี่ย กู เสกให้แล้ว เหยียบให้แล้ว มึงก็อย่าไปขายเค้าแพงนะ ของซื้อของขาย ขายไม่แพง คนเค้าก็ซื้อมึง" ซึ่งคำสอนเหล่านี้ หากพินิจดูให้ถ่องแท้ แม้จะเป็นคำพูดง่ายๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยหลักธรรมของพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา กล่าวทิ้งท้ายให้แฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ได้คิด
ขอบคุณที่มา: ไทยรัฐออนไลน์
ขอบคุณที่มา: ไทยรัฐออนไลน์
No comments:
Post a Comment