ความรู้สึกผิด (guilty)นี้ เป็นความทรมานใจอย่างหนึ่งที่เผาลนจิตใจของมนุษย์ มักเกิดกับคนดี คนที่มีศีลธรรมประจำใจ ใฝ่ต่อความดีงาม แต่ต้องผิดพลาดหลงไปกระทำผิด ทำบาปกรรม ทำในสิ่งที่ไม่ดีบางอย่าง จนทำให้เกิดตราบาปอยู่ในใจ คนส่วนใหญ่ในสังคมปัจจุบันมักจมอยู่กับความรู้สึกผิดนี้ พวกเราส่วนใหญ๋จึงไม่ค่อยมีความสบายใจ ไม่มีความปลอดโปร่งหัวใจ เพราะความรู้สึกผิดคอยหลอกหลอนเราตลอดเวลา
ลูกที่ต้องไปทำงานห่างไกลจากพ่อแม่ รู้สึกผิดที่ตนเองไม่มีโอกาสดูแลพ่อแม่ หญิงสาวผู้มีสำนึกที่ดี รู้สึกผิดที่ไม่อาจรักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้จนกระทั่งถึงวันแต่งงาน พยาบาลผู้มีเมตตาและมีจิตใจที่ดีงาม รู้สึกผิดที่ระงับอารมณ์ตนเองไม่อยู่ ต้องไปดุด่าคนป่วยผู้ขาดที่พึ่งทางใจ คนใจบุญ รู้สึกผิดที่ขอทานมาขอเงินแล้วไม่ได้ให้เพราะมัวติดธุระบางอย่าง คนใฝ่ใจในธรรมะ รู้สึกผิดที่ไม่ได้จอดรถรับพระภิกษุที่โบกรถอยู่ข้างทาง เพราะตนรีบร้อนต้องไปธุระหรือมีความไม่สะดวกบางอย่างที่จะรับท่านขึ้นมานั่งรถของตน ฯลฯ
คนดี คนที่ใจละเอียดอ่อน คนที่มีคุณธรรมประจำใจ มักรู้สึกผิดและไม่สบายใจได้บ่อยๆ เพราะจิตสำนึกที่ดีงามคอยย้ำเตือน คนที่ทำความดีและมีคุณธรรมประจำใจ จึงมีความทุกข์อันละเอียดลึกซึ้งที่ยากจะอธิบายได้ ซึ่งก็มาจากความรู้สึกผิดในสิ่งที่ตนเองทำผิดพลาดไปนี้เอง
เป็นคนดี เป็นคนใจบุญ หรือเป็นคนใฝ่ในคุณธรรมอย่างเดียว จึงยังไม่เพียงพอที่หัวใจของเราจะปลอดภัยจากความทุกข์ ความวิตกกังวล หรือความหม่นหมองอันเกิดจากความรู้สึกผิดได้ ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เวไนยสัตว์ ต้องเรียนวิชาที่สูงขึ้นไป คือวิชาการทำจิตใจให้ปลอดโปร่งแจ่มใสหรือการเจริญภาวนาเพื่อรักษาคุ้มครองหัวใจของตน
ทำความดี ทำคุณประโยชน์ มีจิตใจเกื้อกูลมีเมตตาต่อผู้อื่น แม้ในท่ามกลางการทำความดีหรือช่วยเหลือเกื้อกูลผู้คนนั้น เรามีสิทธิ์ที่จะทำความความผิดพลาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมาก็ได้ เพราะขึ้นชื่อว่าความผิดพลาดบกพร่อง ย่อมเป็นของมีอยู่ประจำตัวมนุษย์ทั่วไป แม้จะตั้งใจทำดีแค่ไหน ก็ยังมีสิทธิ์พลาดพลั้งจนได้ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งอย่างแน่นอน
เพียงแค่ "สำนึกผิด" ก็เป็นการเพียงพอแล้ว อย่าให้ "ความรู้สึกผิด"เผาลนหรือบั่นทอนหัวใจของเราให้ยาวนานเกินไปนัก ยังมีสิ่งอะไรอื่นอีกมากมายให้เราได้สร้างสรรค์ความดีงามประดับไว้ในโลกนี้ เรื่องอะไรจะให้ความรู้สึกที่ดีของเราถูกบั่นทอนลงไปเพียงแค่ความผิดพลาดอันนอกเหนือความตั้งใจของเรา
ไม่มีใครอยากทำผิด ทำบาป ทำในสิ่งที่ผิดพลาด แม้แต่คนบาปที่สุด หากเขาย้อนเวลาและชีวิตกลับไปได้ เขาก็อยากทำดี ทำในสิ่งที่เป็นบุญหรือสิ่งที่ถูกต้องทั้งนั้น แม้คนดีที่พยายามที่สุดที่จะไม่ทำร้ายน้ำใจใคร ก็ยังอดเผลอสติทำให้ผู้อื่นเสียใจไม่ได้ เพราะต่างตกอยู่ภายใต้ความเป็นอนัตตาที่ไม่อาจบังคับบัญชาสภาพธรรมทั้งหลายให้ทุกสิ่งเป็นดั่งใจของตน
แม้จะตั้งใจทำความดีสักแค่ไหน แต่ก็ไม่พ้นความเป็นอนัตตาที่อาจผิดพลาดได้เสมอ ดีแล้วชั่ว ชั่วแล้วดีสลับกันไป จะหมายมั่นว่าชีวิตนี้จะต้องดีและเพียบพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีความผิดเลย นั่นเป็นชีวิตของพรหมผู้อยู่ในฌานสมาบัติ ไม่ใช่ชีวิตของมนุษย์ผู้ยังต้องสาละวนกับความดีความชั่วเช่นตัวเรา
มีนักปราชญ์กล่าวไว้ว่า "ความรู้สึกผิด ไม่ได้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด มันไม่ใช่ธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเรา ความรู้สึกผิด เป็นผลผลิตที่มาจากสังคม"
การสร้างมาตรฐานว่าอะไรผิดอะไรถูก ย่อมขึ้นอยู่กับสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อม ขึ้นอยู่กับกฎหมาย จารีตประเพณี วัฒนธรรม ลัทธิศาสนาในท้องถิ่นนั้นเป็นตัวกำหนด เพื่อควบคุมคนหมู่มากที่มีปัญญาไม่เท่ากัน ให้มีความประพฤติและมีความเชื่อที่เหมือนกัน การกระทำบางอย่างอาจเป็นความผิดในสถานที่แห่งหนึ่ง แต่อาจไม่ใช่ความผิดในอีกสถานที่แห่งหนึ่งก็ได้
ในศาสนาชินะหรือศาสนาเชนในประเทศอินเดีย การที่ใครจะลุกขึ้นมาดื่มน้ำในตอนกลางคืนจะถือเป็นความผิดหรือเป็นบาปอย่างมาก หากใครทนไม่ไหวลุกมาแอบดื่มน้ำในตอนกลางดึกเพราะความกระหาย จะมีความรู้สึกผิดติดอยู่ในใจเรื่อยไป จะคอยตอกย้ำตัวเองว่าเป็นคนบาป คนที่นับถือศาสนาอิสลามหากไปรับประทานเนื้อหมู จะรู้สึกว่าผิดและเป็นบาปอย่างมาก แต่คนจีนหากวันใดไม่มีเนื้อหมูให้รับประทาน จะรู้สึกว่าอาหารมื้อนั้นไม่สมบูรณ์และตนเองช่างมีบุญน้อยนัก
ความรู้สึกผิด ไม่ใช่ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ จิตเดิมแท้เป็นความบริสุทธิ์ไม่มีผิดไม่มีถูก แต่เพราะมนุษย์ไปกิน "ผลไม้ดีชั่ว" หลังจากนั้นบรรดาลูกหลานของอาดัมกับอีฟจึงเต็มไปด้วยบาป เพราะอุปาทานการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในดีและชั่ว มนุษย์ทั้งหลายจึงเป็นคนบาปเพราะความรู้สึกผิดนั้นคอยหลอกหลอนจิตใจ
ปริศนาธรรมในศาสนาคริสต์ที่กล่าวถึง "ผลไม้แห่งความดีความชั่ว" แท้จริงแล้วก็คือการที่จิตเกิดอุปาทานยึดมั่นในดีในชั่ว ในถูกในผิด มนุษย์ทั้งหลายจึงเป็นคนบาปคือมีแต่ความทุกข์กันทั้งโลก พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า "ความวิตกกังวลหรือความทุกข์ใจ มาจากอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น"
ความรู้สึกผิด เป็นผลผลิตทางสังคม ทำให้การพัฒนาตนเองเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องคอยปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไว้ด้วยเปลือกนอก แล้วต้องเสแสร้งแสดงออกไปตามที่สังคมกำหนดให้กระทำ การทำเช่นนั้นจึงเป็นการบั่นทอนความเป็นตัวของตัวเอง เมื่อมนุษย์สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองมากเพียงใด เขาย่อมประสบความทุกข์ทางจิตใจและมีชีวิตที่เต็มไปได้ด้วยความวิตกกังวลเพียงนั้น
การที่สังคมหรือผู้เป็นใหญ่ต้องการควบคุมคนหมู่มากที่มีสติปัญญาไม่เท่ากัน ให้มีความประพฤติเหมือนกันและมีความเชื่อไปในทำนองเดียวกัน เพื่อให้ง่ายต่อการปกครอง จึงทำให้ต้องสร้างกฎหมายขึ้นมาเพื่อควบคุมความประพฤติของผู้คน กฎหมายเหล่านั้นก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตามยุคตามสมัย ในยามใดต้องการเพิ่มจำนวนประชากร ก็บังคับหรือส่งเสริมให้คนแต่งงานตั้งแต่เยาว์วัยแล้วมีลูกให้มากที่สุดก็จะได้รับรางวัล ในยามใดที่ต้องการควบคุมประชากรไว้ไม่ให้มีมากเกินไป ก็บังคับหรือรณรงค์ให้คนคุมกำเนิดและอย่ามีลูกเกินสองคน ใครมีลูกเกินกว่านั้นก็จะรู้สึกผิดที่ทำไม่ได้ตามนโยบาย
ด้วยเหตุนี้นักปราชญ์หรือผู้ทรงปัญญาเข้าใจความลึกซึ้งของชีวิต จึงกล่าวว่า "ความรู้สึกผิด เป็นผลผลิตมาจากสังคม" หากคนในศาสนาชินะหรือศาสนาเชนในประเทศอินเดียมาเกิดเป็นคนไทย การลุกขึ้นมาดื่มน้ำในตอนกลางคืนย่อมไม่ใช่ความผิดหรือเป็นบาปอะไร ความรู้สึกผิดในเรื่องนั้นย่อมไม่ติดอยู่ในใจแม้แต่น้อย นี้คือสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสว่า "ความทุกข์เกิดจากอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น"
ความรู้สึกผิด เป็นผลมาจากอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องนั้นๆ คนดีมีศีลธรรมทั้งหลายที่ทุกข์ระทมกันเพราะความรู้สึกผิดนี้มิใช่น้อย ในโอวาทปาฏิโมกข์อันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกพระองค์จึงไม่ได้สอนให้ละชั่วทำดีเพียงอย่างเดียว แต่ให้เจริญภาวนาคือการทำจิตใจให้ขาวรอบ มีความสะอาด สว่าง สงบและสดใสประกอบกันจึงจะครบบริบูรณ์
การที่ท่านวางหลักการครองชีวิตไว้ที่ทาน ศีล ภาวนา ก็เพราะท่านเข้าใจความเป็นไปของโลกดีว่า มนุษย์ผู้ทำความดีจะต้องมาเผชิญกับความทุกข์อันเกิดจาก"ความรู้สึกผิด"ที่ติดอยู่ในใจนี้กันเป็นจำนวนมาก การทำความดีทำกุศลอย่างเดียวจึงยังไม่เพียงพอ ต้องรู้จักภาวนาคือขจัดความรู้สึกนี้ออกไปจากจิตใจของเราด้วย ชีวิตนี้จึงจะก้าวเดินต่อไปอย่างสง่างาม
ละวางความรู้สึกผิดที่ติดอยู่ในใจเสียแต่วันนี้ จงตั้งใจทำความดีและดำรงสติไว้เสมอ ผิดไปแล้วก็แล้วไปไม่เก็บเอามาเป็นปมในใจ ยังมีสิ่งอะไรตั้งมากมายให้เราได้มีโอกาสประกอบกรรมดี
อย่าปล่อยให้หัวใจของเราหมกจมอยู่กับอดีตที่ผิดพลาดไปแล้ว จงลุกขึ้นยืดอกแล้วก้าวเดินต่อไปอย่างไม่หวั่นไหว ปล่อยให้ความผิดความถูกลอยไปกับสายลมหรือสายน้ำผ่านชีวิตของเราให้เร็วไว สิ่งที่ยิ่งใหญ่ในเวลานี้คือเอาความรู้สึกที่ดีๆกลับคืนมา
ความรู้สึกผิดเป็นเพียงผลิตผลจากอุปาทาน เป็นผลมาจากการยึดมั่นถือมั่นในดีในชั่ว การสร้างมาตรฐานว่าอะไรผิดอะไรถูกเป็นเรื่องของสังคมหรือเป็นเพียงโลกของปุถุชน แต่สำหรับผู้ทรงปัญญาที่เข้าถึงจิตวิญญาณและเป้าหมายอันแท้จริงของการเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมมองเห็นกฎแห่งความจริงของสิ่งทั้งปวง ยิ่งกว่ากฎหมายหรือกฎเกณฑ์ในสังคมที่มนุษย์เขียนขึ้นมา
สลัดความรู้สึกผิดออกจากหัวใจตั้งแต่วันนี้ แล้วเริ่มต้นสู่ชีวิตใหม่ด้วยการมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ จะผิดจะถูก จะดีจะชั่วแค่ไหนเพียงไร สุดท้ายแล้วสรรพสิ่งก็คือความว่าง ต้องปล่อยวางทั้งดีและชั่ว ทั้งความถูกความผิดอยู่นั่นเอง
มีแต่จิตเดิมแท้ที่รู้ ตื่น เบิกบานอยู่ภายในขณะนี้เท่านั้น ที่ไม่เคยจากเราไปไหนตลอดกาล
Source:Unknown
No comments:
Post a Comment