2012-05-14

รู้ทันทักษิณ


วันเสาร์ ที่ 14 พฤษภาคม 2554
ผู้เขียนกอบธรรม

เสนาะรู้ทั้งรู้ว่าต้องมีเรื่องแบบนี้ออกมาแฉกันทั้งบ้านทั้งเมืองแน่ๆ ก็เรื่องคำพูดเก่าๆของเขานั่นแหละ

"หากต้อง การรู้ทันทักษิณ ต้องเข้าใจเสียก่อนว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนอย่างไร เพราะลักษณะเฉพาะและตัวตนของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการใช้อำนาจและบริหารราชการแผ่นดินของทักษิณทั้งหมด นั้น ประกอบขึ้นมาเป็นระบอบทักษิณ ซึ่งมีทั้งระบบการใช้อำนาจและการแสวงหาผลประโยชน์อยู่ร่วมกัน"

พ.ต.ท. ทักษิณเป็นคนมีวุฒิการศึกษา แต่ขาดวุฒิภาวะการเป็นผู้นำ ไม่มีสภาวะผู้นำ โดยเฉพาะในระดับประเทศ เป็นคนไม่มีประสบการณ์ในการบริหารราชการ แม้เคยรับราชการตำรวจก็อยู่ไม่นาน และใช้เวลาว่างไปกับการประกอบธุรกิจ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักเสี่ยงโชค ขาดความรอบคอบ เคยประสบปัญหาทางธุรกิจ แลกเช็คและถูกฟ้องเช็คเด้ง นิยมบริหารธุรกิจแบบคิดไวทำไว โดยใช้การตลาดเป็นเครื่องมือ

"การจดทะเบียนคนจนนั้น ผมเคยแนะนำว่ามันทำไม่ได้ ไปประกาศเฉยๆ ไม่ได้ เอามาขึ้นทะเบียนเฉยๆ คนที่เป็นหนี้สินอยู่ที่ไม่ใช่คนจนก็ไปจดทะเบียนด้วย มันจะบานปลายไปใหญ่ พี่ไม่เห็นด้วย มองด้วยจิตสำนึกมันปฏิบัติไม่ได้ มันได้แค่โชว์ตัวเลขตอนเลือกตั้งจากนั้นไม่มีผลจริง แต่ทักษิณตอบว่า โธ่...พี่เหนาะ คนตาบอดมันกลัวเสือเหรอ ถ้าเราไม่พูดแบบนี้เราจะได้เสียงเหรอ"

เขาพูดอย่างนี้ แสดงว่าไม่ได้จริงใจกับนโยบาย ประกาศไปก่อนค่อยหาวิธีการทำการตลาดทีหลัง ไปเสี่ยงเอาข้างหน้า ขอให้ได้คะแนนเสียงไว้ก่อน ไม่สนวิธีปฏิบัติราชการ แม้แต่โครงการ SML ผมก็เตือนว่าเข้าข่ายซื้อเสียง เพราะอยู่ในภาวะเลือกตั้ง ทักษิณตอบว่า

"โธ่...อำนาจอยู่ที่เรา กกต.ก็ของเรา คนก็ของเรา"

ล่าสุด ก่อนการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 มีการกระทำผิดกฎหมาย คือขนคนมาฟังการปราศรัยโดยจ้างมา มันผิดกฎหมายแน่นอน แต่ กกต.กลับเฉย พ.ต.ท.ทักษิณเคยบอกรัฐมนตรีในรัฐบาลว่า ไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอให้ทำตามก็พอ หากรัฐมนตรีของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนที่คิดมาก รอบคอบ คอยตักเตือนจะอยู่ไม่ได้เลย คนที่อยู่ได้จะต้องตอบ "เยส" อย่างเดียว เช่น นายพินิจเคยพูดว่า "ท่านนายกฯ ผมไม่เคยเห็นใครคิดได้ดีเท่านี้เลย" หรือนายเนวินก็มักพูดว่า "ดีนายๆ"

ด้วยเหตุนี้ รัฐมนตรีบางคนในช่วงเทศกาลเลือกตั้ง มักมีบัตรเลือกตั้งที่พิมพ์เกินอยู่เต็มรถ จึงได้รับการฟูมฟักอย่างดี เหนียวแน่น ถูกเรียกใช้งานบ่อยๆ ในช่วงหลัง ยิ่งกว่านั้นยังมีการใช้ระบบธุรกิจครอบครัวมาจัดการผลประโยชน์ในรัฐบาลแบบ เบ็ดเสร็จ ตั้งแต่ขนคนที่เคยทำงานกับตัวเองในบริษัทแบบยกชุด วางคนของตัวเองไปในทุกกระทรวง โดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งที่มีอำนาจอย่างเป็นทางการ

แต่ทุกคนใน กระทรวงจะรู้ดีว่าคนคนนี้คือคนของเขา จะทำอะไรก็ต้องผ่านคนคนนี้ เรียกว่ามี 2-3 คนไปดูแลผลประโยชน์ทุกกระทรวง เป็นเสมือนหลงจู๊ แล้วยังส่งคนไปยึดตำแหน่งใน กมธ.ชุดต่างๆ ของสภาผู้แทนฯ ใน ครม.ก็ไม่ต่างกัน ทุกโครงการที่จะมีการอนุมัติ ถ้ารัฐมนตรีคนไหนเสนอเรื่องขอใช้งบกลางที่จัดสรรไว้มหาศาล ก็ต้องไปเคลียร์กับคนของเขาให้เรียบร้อยก่อน รัฐมนตรีหลายคนจะมีคนของเขาเข้ามาบอกว่า

"เดี๋ยวทำงบฯ จะเอากี่พันล้าน แต่ต้องเอาเข้าพรรค 10%"

หมายความว่าจะไปทำอะไรขึ้นมาก็ได้ ไปเขียนโครงการมา ถ้ารัฐมนตรีคนไหนทำไม่ได้ก็อยู่ไม่ได้ เวลาทำโครงการก็ต้องจ้างที่ปรึกษาที่เป็นคนของตัวเอง แล้วใช้วิธีที่เก่งที่สุด คือ "ยกเว้นระเบียบพิเศษ" ยิ่งใช้วิธีขีดเส้นตายว่าต้องเสร็จวันนั้น-วันนี้ เหมือนกรณีสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อจะได้ใช้วิธีจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ นโยบาย 10% รัฐมนตรีต้องทำโครงการ โดยตบแต่งงบประมาณขึ้นมาก่อนว่า มูลค่าของโครงการจะครอบคลุม 10% ที่ต้องหักเข้าพรรค

จากนั้นไปตกลงกับ คนของเขาผ่านคุณหญิง เมื่อเรียบร้อยเมื่อใดก็ส่งมาให้ตัวตาย-ตัวแทนทางการเมืองที่เขาไว้ใจ พอเข้า ครม.นายกฯ จะเสนอโครงการและอนุมัติให้เองเสร็จสรรพ รัฐมนตรีไม่ต้องคิด ไม่ต้องสงสัย ทุกวันนี้ยังไม่มีใครรู้ใครเข้าใจว่า 10% มีอยู่เท่าไร....คงต้องไปถามคุณหญิง

สิ่งที่สุดทนจริงๆ คือกรณีผู้ว่าฯ สตง.ที่ถูกแทรกแซงการทำงาน แทรกแซงองค์กรอิสระ และละเมิดพระราชอำนาจ มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่สำคัญ ที่ทำให้ผมลุกขึ้นอภิปรายเมื่อ 8 มิ.ย.2548 การประกาศตัดขาดแตกหักกลางสภาฯ พูดได้ว่าถ้ามันเอาชีวิตได้มันเอาไปแล้ว มันแค้น แต่ก็ไม่กล้า ตอนหลังคนของ พ.ต.ท.ทักษิณก็ติดต่อมาหลายครั้ง ผมพูดตรงๆ ไปว่า

"เรื่องมันมาถึง ขนาดนี้แล้ว เมื่อไม่ยอมลดละเอง จนเราต้องแตกหักไปสู่สาธารณชนแล้ว สิ่งสำคัญนายกฯ ก็ต้องแก้ข้อกล่าวหาทั้งหมดให้ได้ และผมยังพูดอีกว่า ถ้าบอกจะกินข้าวกันตอนนี้ ...มันยังไงล่ะ ให้พี่เป็นผู้เป็นคนดีกว่า อย่าให้พี่เป็นหมาเลย"

ก่อนที่จะเกิดปัญหาทั้งหมด ผมก็พยายามไปเตือน แต่เรื่องที่เตือนก็เป็นการขัดผลประโยชน์เขาทุกเรื่อง เช่นคิดว่ารัฐมนตรีคอรัปชั่น ผมก็ไปเตือนเพราะคิดว่าไม่รู้ ที่ไหนได้..มันสั่งเอง ขนาดกลายเป็นว่า รัฐมนตรีคนไหนไม่ทำตามสั่ง ภายหลังก็อยู่ไม่ได้

"ความขัดแย้งในปัจจุบัน สาเหตุมาจากตัวปัญหาคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ คนคนนี้โกงเพื่อเข้ามาสู่อำนาจ เมื่อมีอำนาจก็โกงอีก อันตรายต่อบ้านเมืองสุดๆ พ.ต.ท.ทักษิณน่ากลัว เพราะเป็นคนมีวุฒิการศึกษา จ้องวางแผนเอาเปรียบคนอื่น ถือว่าต่ำต้อยเหลือเกินในการเป็นผู้นำประเทศ "

ผมจำคำพูดของทักษิณที่ เคยบอกว่า...พี่เหนาะผมพอแล้ว สมบัติส่วนหนึ่งผมให้ลูก อีกส่วนเก็บไว้สำหรับตายาย กินจนตายก็ไม่หมด สมบัติอีกส่วนจะทำเพื่อบ้านเมือง จะใช้หนี้แผ่นดิน

"คำพูดนั้นๆ ผมเคยหลงคิดว่า คนคนหนึ่งรวยแล้วกลับใจ คิดใช้หนี้แผ่นดิน ตอนนี้ผมรู้ความจริงแล้วว่ารวยจากโกงชาติ กล้าทำแม้เผาบ้านเมืองเพื่อเอาประกัน คนรวยคนนี้รวยแล้วไม่รู้จักพอ ไม่ใช้หนี้แผ่นดินยังไม่พอ มันยังโกงกิน ทรยศต่อแผ่นดิน"

ผมเคยพูดและเตือนกับคุณหญิงอ้อว่า "น้อง...ถ้ามันได้มาอีกแสนล้าน เอาไปทำไม" เขาพากันตอบว่า

"ก็ รู้ แต่ในเมื่อเล่นการเมืองมันต้องควักเงิน ก็ต้องถือว่าเป็นธุรกิจ" เคยเตือนหนักๆ ถึงขั้นว่า "ในอนาคต ถ้ามันจะเดือดร้อนหนักๆ คือคนเป็นหัวนะ" เขาก็ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า

"ก็รู้...ถ้าพี่ทักษิณจะลง ต้องให้พรรคไทยรักไทยมีอำนาจอย่างน้อย 2 สมัยถึงจะปลอดภัย"
................................................................................................................................
ผมคิดว่า เสนาะไม่ใช่คนโง่ และไม่ใช่คนบ้าที่ไม่รู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้ต้องเกิดขึ้น ลึกๆแล้วที่เขาทำแบบนี้อาจจงใจให้มีคนได้นำเสนอคำพูดเก่าของเขาเพื่อแฉให้สังคมได้รับรู้อีกครั้ง เผื่อใครจะหายโง่ขึ้นมาบ้าง หรือทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นเพียงบทวิเคราะห์โง่ๆของผมก็ไม่รู้ แต่ทุกคนที่หวังดีต่อบ้านนี้เมืองนี้น่าจะเอากันคนละดอกสองดอกนะครับ

อยากถามผ่านไปถึงฟรีทีวีทุกช่องว่าพวกคุณอยากช่วยชาติกันบ้างไหม..ถ้าอยากช่วย เชิญนายเสนาะ เทียนทอง สัมภาษณ์ออกทีวีแล้วถามประโยคเดียวพอว่า..

"เรื่องที่คุณเขียนลงในหนังสือรู้ทันทักษิณเป็นเรื่องจริงหรือคุณโกหก"

ถามแค่นี้พวกคุณ(สื่อ)ทั้งหลายทำกันได้ไหม?
เมื่อประชาชนทั้งประเทศทราบคำตอบแล้วจะได้ตัดสินใจได้ถูกต้อง พวกคุณก็นับว่ามีพระคุณกับประเทศที่ยิ่งใหญ่จนหาที่สุดไม่ได้ พอๆกับช่วยเหลือน้ำท่วมนั่นแหละ

ทำมาหากินกับประเทศนี้มานาน ถึงเวลาแล้วหรือยังที่พวกท่านทั้งหลายจะตอบแทนคุณแผ่นดินแบบจริงๆจังๆกันเสียที โดยช่วยกีดกันคนไม่ดีอย่าให้เข้ามาบริหารประเทศ

และอยากจะขอบอกว่า..

"ยามศึกไม่มีใครเขานั่งพับเพียบยิงกันหรอกครับ".

No comments: