2013-06-17

ต้องทำลายรัฐบาลประชาชน และเปลี่ยนเป็นรัฐทหารปิดประเทศเท่านั้น


« on: February 05, 2011, 06:40:17 PM »

สถานการณ์ประเทศในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานี้..เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนแทบจะปรับจิตใจไม่ทัน.. นับตั้งแต่การเสื่อมความนิยมลงอย่างรวดเร็วจากกระแส “ตาสว่าง”  ที่เกิดขึ้นทั้งแผ่นดิน.. ความขัดแย้งของประชาชนในประเทศที่แผ่ขยายจนรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้... แม้ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์  จะได้รับการอุ้มสมให้ขึ้นมาบริหารประเทศโดยมีอำนาจที่มองไม่เห็นหนุนหลังอยู่อย่างเต็มที่เพียงไร  ก็ไม่สามารถทำให้กระแสความนิยมกลับคืนมาได้..และมีแต่จะลดถอยลงไปอย่างน่าตกใจ..


การจุดกระแสให้เกิดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาในเรื่องเขตแดนทับซ้อน.. ซึ่งใครๆ ก็มองออกว่าเป็นเพียงการปลุกกระแสคลั่งชาติขึ้นมาสร้างสถานการณ์เพื่อบังหน้าเท่านั้น.. การที่นายวีระ  สมความคิด.. และพรรคพวก  เดินข้ามเขตแดนเข้าไปยังพื้นที่ ที่ยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่  จนถูกทหารกัมพูชาจับไปนั้น   จะมองไปเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากว่าเป็นการจงใจเข้าไปเพื่อเป็นการจุดชนวนความขัดแย้งขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา  แล้วกลุ่มพันธมิตร และกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ก็ออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล...


จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่กระแสการจุดชนวนคลั่งชาติเพื่อสร้างความขัดแย้งกับกัมพูชาในครั้งนี้จึงไม่มีประชาชนไทยให้ความสนใจมากนัก..  พูดง่ายๆ  ก็คือเพราะเราไปหาเรื่องเขาก่อน..


แต่สิ่งที่น่าจะพิจารณาและนำมาวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ในขณะนี้ก็คือ.. ทำไมกลุ่มพันธมิตร ที่เคยแนบแน่นอยู่กับ  รัฐบาลประชาธิปัตย์  โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เคยถึงขั้นเดินทางไปเยี่ยม  พันธมิตร  ถึงหน้าเวทีการชุมนุมและแสดงความเห็นอกเห็นใจมาแล้ว.. และที่สำคัญ  พันธมิตรที่เรียกกันว่า  “ม๊อบมีเส้น”   กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์  ก็เป็น  “รัฐบาลที่มีเส้น”   เช่นกัน..  และที่แน่ๆ  เส้นของทั้งสองฝ่ายก็เป็นเส้นชนิดเดียวกัน.. แล้วทำไมถึงมาเกิดความขัดแย้งกันได้..ชนิดผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ...


ความขัดแย้งจนถึงขั้นชุมนุมขับไล่นี้มิได้เกิดขึ้นระหว่าง   “พันธมิตรและรัฐบาลอภิสิทธิ์”  ด้วยตัวเอง.. เพราะถึงอย่างไรทั้งสองกลุ่มก็มีคนหนุนหลังที่เป็นคนเดียวกัน.. แต่ทว่าภาพความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นขับไล่กันนี้  น่าจะพิจารณาได้ว่าเป็นความขัดแย้งเทียม (หรือภาพเบื้องหน้า)  ที่แสดงให้คนทั้งโลกและทั้งชาติเห็นว่า  “เกิดความขัดแย้งและความวุ่นวาย”  ขึ้นภายในประเทศนี้..  และต้องการให้เรื่องลุกลามจนกลายเป็นปัญหาระหว่างชาติ.. เพื่อเพิ่มน้ำหนักของความวุ่นวายให้มากยิ่งขึ้น.. เพื่อสอดคล้องกับกระแสข่าวการรัฐประหาร หรือการเข้ายึดกุมอำนาจรัฐของทหาร


การที่จะให้ทหารเข้ามายึดกุมอำนาจรัฐนั้นมิใช่เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดน  หรือแก้ปัญหาการบริหารประเทศของรัฐบาลอภิสิทธิ์... แต่เป็นการให้ทหารเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติศรัทธาที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในขณะนี้.. เวลานี้หนทางเดียวที่จะทำให้เกิดการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาทุกปัญหาของฝ่ายเผด็จการอมาตย์ที่กำลังประสบอยู่นั้นก็คือ  การยึดกุมอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด..  และหนทางเดียวที่ทำได้ก็คือ  การทำรัฐประหาร.. หรือ การประกาศกฎอัยการศึก  เพื่อให้ทหารมีอำนาจเต็มในการควบคุมประเทศ

ปูนนก
 Logged

poonnook
Newbie
*
Offline Offline

Posts: 7

« Reply #1 on: February 05, 2011, 06:41:45 PM »

แต่ดูเหมือนว่าหนทางทั้งสองก็เป็นหนทางที่เลือกที่สุ่มเสี่ยงมิใช่น้อย.. ท่ามกลางกระแสการต่อต้านเผด็จการที่กำลังดำเนินอยู่ทั่วโลกในขณะนี้..  ทว่าเวลาก็มีน้อยลงเรื่อยๆ  นายโรเบิร์ต  อัมสเตอร์ดัม  ได้ยื่นฟ้อง  ICC  ต่อรัฐบาลไทยโดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  ในฐานะนายกรัฐมนตรี.. และให้บังเอิญเปิดช่องให้ฟ้องได้ในฐานะเป็นผู้มีสัญชาติอังกฤษ


เจ้าของอำนาจเผด็จการคงจะไม่ยอมให้นายอภิสิทธิ์  ถูกนำตัวขึ้นไต่สวนในคดีนี้อย่างแน่นอน  เพราะทุกอย่างจะถูกเปิดเผยต่อหน้าชาวโลก..ด้วยเหตุนี้  การใช้อำนาจสุดท้ายที่มีอยู่ควบคุมประเทศนี้จึงเป็นหนทางสุดท้ายในเวลาอันจำกัดนี้.. 


แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าจะให้ทหารออกมาทำรัฐประหารหรือไม่.. หรือจะปล่อยให้นายอภิสิทธิ์บริหารประเทศต่อไป  ท่ามกลางกระแสประชาธิปไตยที่กำลังไหลเชี่ยวกรากไปทั่วทั้งโลกเวลานี้   ไม่มีทางที่อำนาจเผด็จการที่ครอบประเทศอยู่ขณะนี้จะดำรงอยู่ได้อีกแล้ว..  ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย  คนเสื้อแดงและผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาตลอดหลายสิบปี   ต่างรอคอยเวลานี้มาอย่างยาวนาน


ต้นไม้ประชาธิปไตยที่ถูกราดรดด้วยน้ำตา..คราบเลือด.. และชีวิตของวีรชนเหล่านั้น   กำลังเกิดดอกออกผลแล้ว..  วันที่ประชาชนจะโห่ร้องด้วยความยินดีที่ได้รับประชาธิปไตยกลับมาอย่างแท้จริงกำลังจะมาถึงแล้ว..  “และครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้กับเผด็จการครั้งสุดท้ายอย่างแท้จริง”  แล้วเราจะร่วมถือป้ายประชาธิปไตยด้วยกัน


“To banish the trace of a tear from eyes;
A thousand deaths would I gladly die;
If one more life were granted me;
I’d spend that life in serving thee.”

By Awetik Issaakjan

“เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์
สักพันชาติจักสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์
แม้นชีพใหม่มีเหมือนหวังอีกครั้งครัน
จักน้อมพลีชีพนั้นเพื่อมวลชน”

จิตร  ภูมิศักดิ์ (ผู้แปล)

"ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า          ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาปสูญ
ไม่มีใครต่างล้ำเลิศน่าเทิดทูน       ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป
เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่               ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่
เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ          ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน"


วิสา  คัญทัพ


ปูน

No comments: