นายกในดวงใจ
▼
ประเทศไทยจะรับประวัติศาสตร์แบบนี้ได้อีกกี่ครั้ง
ในที่สุด6และ14ตุลาฯก็ผ่านไป เหลือท้ิงไว้ซึ่งข่าวเล็กๆน้อยเช่นข่าวที่พี่เสกโลโซโพสในเฟสบุ๊คว่า”40ปี14ตุลา”แต่กลับมีคนมากมายแห่เข้ามาอวยพรเพราะคิดว่าเป็นวันเกิด
หรือข่าวธีรยุทธ บุญมีนักวิชาการผู้มีประสบการณ์ตรงกับ14ตุลา ตั้งฉายาให้ทักษิณว่า”ขี้ขำ”หมายความว่าอุจจาระค้างรูทวาร และให้ฉายายิ่งลักษณ์ว่า ขี้หย้อง-ขี้แบ๊ะ คือฉาบฉวย ไม่ทำอะไรเป็นล่ำเป็นสัน แต่งตัวสำรวย ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ในสื่อกระแสหลัก
ส่วนในสื่อกระแสรองลงมาทั้งในโซเชี่ยวมีเดียก็มีการนำเสนอคำพูด,บทความจากกลุ่มคนที่เคยผ่านเหตุการณ์เดือนตุลาและที่ไม่เคย นักคิด นักวิชาการ และผู้ติดตามการเมือง
คนเหล่านี้แบ่งตัวเองออกเป็น2ฝ่ายใหญ่ๆคือเหลืองและแดง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนคิดเห็นไปในทางอื่นนะครับ คนที่ผ่านเดือนตุลามาเองก็ได้แตกเป็นสองกลุ่มเช่นกัน ทั้งสองกลุ่มต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในแบบของตน ฝ่ายแรก(ฝ่ายที่เอนไปทางเหลือง)มองว่าปัญหาคือระบอบทักษิณ และนายทุนใหญ่ซึ่งมีไม่กี่กลุ่มในประเทศ เรียกรวมว่า”กลุ่มทุนสามานต์” อีกฝ่าย(เอนไปทางแดง)มองว่าปัญหาคืออำนาจของทหารทั้งที่อยู่ในอำนาจปัจจุบันและทหารเก่าที่ยังมีอิทธิพลต่อบ้านเมือง และกลุ่มมือที่มองไม่เห็นหรือบางคนนิยามว่าอำมาตย์
อย่างไรก็ดีบรรยากาศเดือนตุลาปีนี้ก็เผ็ดร้อนจากการที่สองกลุ่มได้ปะทะกันผ่านการพูดและบทความต่างๆ ช่วงต้นเดือนตุลาคมปีนี้ผมดูช่องTPBSและเห็นรายการนึงนำคนเดือนตุลาฯ2คนที่ปัจจุบันมีจุดยืนที่แตกต่างกันอย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วมาผลัดกันพูด มุมมองของท่านทั้งสองนาสนใจและเกิดคำถามในใจผมว่าอะไรทำให้คนที่ผ่านเหตุการณ์เดียวกันแท้ๆกลับมีจุดยืนที่ต่างกันอย่างสุดขั่วในอีก40ปีต่อมา
ในวันที่13ตุลาคมที่ผ่านมา ผมจึงตัดสินใจไปเดินเล่นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท้องสนามหลวงเพื่อให้เข้าใจอะไรมากขึ้น ผมทราบมาว่าปีนี้เค้ามีหนังสือแจกฟรีครับชื่อว่า”ย้ำยุค รุกสมัย”แน่นอนมันเกี่ยวกับเหตุการณ์14ตุลา และนั้นเป็นแรงจูงใจอย่างดีให้คนขี้เกียจอย่างผมได้ออกจากบ้าน
ผมไปถึงบริเวณหลังหอประชุมใหญ่และคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อก็เดินสวนมาพอดีครับผมเลยขอเขาถ่ายรูป
คุณณัฐวุฒิก็ถามผมว่า เรียนที่นี่หรอ? ผมก็ตอบว่าเปล่า ในใจรู้สึกดีใจครับเพราะพึ่งผ่านวันเกิดปีที่25ของผมมาไม่นานแต่ยังถูกทักว่าอยู่ในวัยเรียน เอ๊ะ! หรือหน้าเราดูโง่ๆไม่มีวุฒิภาวะแบบผู้ใหญ่กันแน่
ขอถ่ายรูปเสร็จผมก็เดินต่อมาถึงบริเวณที่มีรูปปั้นเกี่ยวกับเหตุการณ์14ตุลาครับ ผู้คนมากมายจริงๆส่วนใหญ่ใส่เสื้อแดงแต่ก็มีส่วนที่ไม่ได้ใส่เสื้อแดงเยอะอยู่พอสมควร เด็กๆวัยเดียวกับผมแทบไม่มีมีก็แต่เพื่อนที่เคยเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบด้วยกันคนนึงเท่านั้นที่เราบังเอิญเจอกันตอนเลือกซื้อหนังสือที่ขายในงาน นอกนั้นไม่ผู้ใหญ่วัย40กว่าก็เป็นคนแก่ไปเลยครับ
สิ่งที่วางเด่นคือรูปผู้เสียชีวิตในวันที่14ตุลาคม2516ครับ ผมเดินดูไปทีละรูปอ่านไปทีละชื่อก็รู้สึกสลดใจ เพราะผู้ตายมีทั้งอายุ16,17,18ใล่ขึ้นไปถึงคนแก่อายุ50 เดินอ่านไปเรื่อยๆก็ไปเจอรูปสามเณรมนตรี โล่ห์สุวรรณ อายุ 15 ปี ถูกยิงจากเฮลิคอปเตอร์ ที่บริเวณวัดบวรนิเวศ ถูกกระสุนเข้ากลางศีรษะ มาถึงตรงนี้ก็มีประเด็นหนึ่งผุดขึ้นในหัวผมว่า นี่เราไม่ได้ตั้งใจเรียนจนไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้หรือว่าที่โรงเรียนเค้าไม่ได้สอนว่ะ สรุปตัวเลขผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์14-16ตุลาคม2516 มี77คน บาดเจ็บ857คนครับ
ผมเดินต่อมาจนเจอซุ้มของเวปไซต์ประชาไทครับได้พบกับหนึ่งในผู้ดำเนินรายการwake up thailandคุณชูวัส ฤกษ์ศิริสุข กำลังพูดคุยกับผู้มาร่วมงานและขายสินค้าที่เวปประชาไททำขึ้นในโอกาสดังกล่าว ถึงตอนนี้ผมก็เล็งแล้วว่าเดี้ยวจะต้องเข้าไปขอเขาถ่ายรูป คงเหมือนอาการของคนที่ได้เจอดาราที่เราชอบแหละมั้ง ผมรู้สึกเกร็งๆไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่แต่ก็ได้ถ่ายรูปในที่สุด
ผมเดินชมบรรยากาศรอบๆนิดหน่อย เจอหนังสือดีๆวางขายมากมาย รวมทั้งของที่ระลึกที่จะมีรูปใบหน้าคนสำคัญ,ข้อความ,สัญลักษณ์ทางการเมือง ทั้งไทยและต่างประเทศ เช่น มหาตมะคานที,เช กูเวรา,เหมา เจ๋อ ตุง ไปถึง ทักษิณ และ นายกปู เรียกได้ว่าบรรยากาศครึกครื้นผู้คนคับคั่ง บางท่านนั่งจับกลุ่มคุยกัน เรื่องการเมืองบ้าง เรื่องเศรษฐกิจบ้าง เรื่องเจ้าบ้าง เรื่องอำมาตย์บ้าง เรื่องอดีตวัยหนุ่มวัยสาวของแต่ละคนก็ว่ากันไป
ยังมีอีกหนึ่งอย่างที่ผมตั้งใจมาดู คือ งิ้วธรรมศาสตร์ปีนี้เขาแสดงในเรื่องหกศพวัดปธุมฯ ผมเดินเข้าไปในหอประชุมก็พบว่าหอประชุมใหญ่นั้นล้นครับ ผมเดินหาที่นั้งจนได้ในที่สุด ผมนั่งลงดูละครเวทีและก็รู้สึกเสียวไส้ครับละครที่กำลังแสดงนั้นเป็นเรื่อง”เจ้าสาวหมาป่า”ดำเนินเรื่องโดยพระราชาแห่งประเทศสารขันครับ พระราชาได้แต่งงานกับเจ้าสาวหมาป่า และพระราชาก็ดูเหมือนจะสนใจตำแหน่งและอำนาจของตนมากกว่าเจ้าสาวของตน ต่อมาก็โดนคนรับใช้แอบเอายานอนหลับให้กินบ่อยๆ จนพระราชามีอาการเบลอบางทีก็ถูกครอบงำโดยคนรับใช้ให้ทำนู่นทำนี่ เซ็นข้อตกลงค้าขายต่างๆบ้าง แต่งตั้งโผทหารบ้างอะไรก็ว่าไป มีตอนหนึ่งเพลงที่ใช้ประกอบได้ดัดแปลงมาจากเพลงต้นไม้ของพ่อโดยขับร้องผ่านตัวละครพระราชามีเนื้อว่า”นานมาแล้ว ไพร่ได้ปลูกต้นไม้ไว้ให้เรา เพื่อวันหนึ่งจะบังลมหนาว..” ถึงตอนนี้คนส่งเสียงฮึมฮัมกันทั้งหอประชุมครับ ไอ้ผมก็กลัวเสียเหลือเกินว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นมั้ยเพราะตอนนั้นละครเวทีเรื่องนี้ก็ถ่ายทอดทองช่องออนไลน์ครับ ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครที่ได้ดูละครเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าเนื้อหามันตรงกับกลุ่มบุคคลจริงๆบางกลุ่ม(ซึ่งผมก็คิดว่ามันตรงและชัดแม้ละครจะใช้ชื่อสมมติ แต่นั้นเป็นความรู้สึกผมนะครับคนอื่นก็อาจคิดแตกต่างกันไป) กลัวเหลือเกินว่าจะมีใครปาระเบิดเข้ามาในหอประชุมหรือเกิดเหตุรุนแรงขึ้น
ละครจบด้วยการขึ้นมามีอำนาจของผู้รับใช้พระราชาขี้ประจบประแจง ได้บริหารราชการแทนพระราชา
ถึงตอนนี้ผมก็เป็นคิวของลิเกมะขามป้อม และตอนนี้เองผมก็กลับออกมาจากหอประชุมเพราะเหนื่อยและเริ่มปวดหัวครับคนในหอประชุมเยอะและวันนั้นผมก็ไปทำงานมาในช่วงเช้า
ผมออกมาก็ได้เดินดูหนังสือในงานและก็ซื้อติดไม้ติดมือมาหลายเล่มเดินออกมาจากธรรมศาสตร์ด้วยความรู้สึกที่ไม่เหมือนตอนเดินเข้ามาเท่าไหร่ กับความคิดหลายอย่างที่มันค้างคาในใจ ความเศร้าสลดและ คำถามอย่างเช่นทำไมนะ ถึงไม่มีนักศึกษามาร่วมงานนี้เท่าที่ควรทั้งที่อุดมการณ์ต่างๆมันน่าจะยังมีหลงเหลืออยู่บ้าง(แต่ที่ทราบมาในภายหลังก็มีกลุ่มนักศึกษาที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ครับ)
คำถามที่ว่าทำไมการศึกษาไทยถึงพยายามซ่อนเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สำคัญนี้จากนักเรียน
ผมกลับถึงบ้านและเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้ง14และ6ตุลาและพบว่าทุกคนที่เล่าเรื่องนี้จะเล่าไปถึงจุดนึงและพูดว่า”ถึงตรงนี้เขาพูดไม่ได้”(ด้วยความจริงใจต่อผู้อ่านนะครับจนถึงตอนนี้ผมก็ไม่ทราบจริงๆว่าเนื้อหานั้นทำไมหลายคนเล่าไม่ได้) เรื่องนี้พอได้ศึกษามันคล้ายๆกับจิ๊กซอครับ มันกระจัดกระจาย
ที่แน่ๆคือทั้ง14และ6ตุลาฯนั้นมีคนตายมากมาย ด้วยน้ำมือของคนที่สุดท้ายแล้วไม่ต้องรับโทษใดๆ
ไม่ว่าผู้ที่ตายจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศเราไว้มากหรือน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่ค่อยจะมีใครจำพวกเขาได้แล้วในปัจจุบัน ในชั้นเรียนเราพูดเสมอว่าเราศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อทำให้ปัจจุบันและอนาคตของเราดีกว่าอดีต แต่ข้อเท็จจริงนั้นมันสวนทางประเทศไทยเราไม่ได้เรียนรู้อะไรจากอดีตมากนัก ยังมีการฆ่าเพราะการเมือง ในปี35และ53
ในวันที่6ตุลาคม2519นายวิชิตชัย อมรกุล นิสิตชั้นปี 2 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถูกแขวนคอหน้าธรรมศาสตร์มีคนยืนปรบมือและส่งเสียงเชียร์ให้คนทำร้ายศพทุกคนที่ยืนดูล้วนมีรอยยิ้ม
ในวันนั้นไม่มีใครรู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนเวลาผ่านเรามองย้อนไปค่อยๆรู้ตัวทีละน้อย
ประวัติศาสตร์ทั่วโลกล้วนผ่านความรุนแรงผู้คนเข่นฆ่ากันได้เสมอเพราะความต่าง ต่างสีผิว ต่างศาสนา ต่างเชื้อชาติ ต่างความคิด มนุษยชาติมีบทเรียนและเรียนรู้ร่วมกัน
ในปี2553ที่ผ่านมาประเทศเราก็มีคนตายจากการเมืองอย่างที่เรารู้กัน เค้าไม่ได้ถูกแขวนคอศพไม่โดนย่ำยีได้รับเงินเยียวยา7ล้านบาท แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าเราได้ร่วมกันซ้ำรอยอดีตด้วยการฆ่ากันเพราะความต่าง ไม่มีภาพคนยืนเชียร์แบบ6ตุลา แต่เรากล้าโกหกตัวเองหรือไม่ว่ามีพลังสนับสนุนและมีการสร้างความชอบธรรมในการฆ่าไม่ต่างจากเมื่อ40ปีที่แล้ว
มาถึงตอนนี้คนตายไปแล้วก็คือคนตายมันแก้อะไรไม่ได้ แต่คนที่ยังไม่ตายเรียนรู้อะไรมากน้อยแค่ไหนอันนี้ไม่รู้ อีก40ปีข้างหน้าเราอาจมองเห็นเหตุการณ์ปี53ไม่ต่างจากที่วันนี้เรามอง14,6ตุลา หรืออาจมองต่างก็ได้ผมก็ไม่รู้
แต่ก็น่าคิดว่า ถ้าเรายอมรับอดีตที่ผ่านมาได้โดยนิ่งเฉยไม่ทำอะไร
ประเทศไทยจะรับประวัติศาสตร์แบบนี้ได้อีกกี่ครั้ง อีกกี่ชีวิตที่จะต้อง...?
No comments:
Post a Comment
เชิญแชร์ความคิดเห็นที่นี่ค่ะ